รีวิว 5 Centimeters Per Second (2007)
5 centimeters per second หรือ ยามซากุระร่วงโรย เป็นผลงานแอนิเมชั่นแบบสองมิติ ผลงานจากปลายปากกาของ มาโกโตะ ชินไค จัดทำโดยสตูดิโอ comic wave ซึ่งแอนิเมชั่นเรื่องนี้เคยมีจัดทำในรูปแบบของมังงะ มีทั้งแบบที่ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Afternoon และแบบที่รวมเล่ม รวมทั้งแบบนวนิยายที่ปัจจุบันมีรูปแบบที่แปลเป็นภาษาไทยแล้ว
5 centimeters per second ไม่เชิงเป็นเรื่องรักโรแมนติกเสียทีเดียว แต่มีทั้งอารมณ์เหงา ๆ เศร้า ๆ ปนอยู่ด้วยเต็มไปหมด ผลงานชิ้นนี้จึงถูกนำเสนอออกมาในรูปแบบของเรื่องราวสั้น ๆ 3 ตอน ที่มีความเชื่อมโยงกันอยู่ เปรียบเสมือนกับการเป็น ตอนต้น ตอนกลาง ตอนจบของเรื่องราวสักเรื่องหนึ่ง
ตอนต้น เป็นตอนที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ทั้งคู่สนิทกันแต่ด้วยอะไรบางอย่างทำให้ระยะทางที่มีนั้นไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ
เป็นตอนเกริ่นนำที่แบบดูงง ๆ ไปหน่อยในตอนแรก แต่ก็เหมือนจะเริ่มเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ภาพสวยมากสีสันก็ดูดี ทั้งตัวละครทั้งฉากสถานที่ต่าง ๆ บอกเล่าบรรยากาศของเรื่องได้ดูน่าสนใจ ลายเส้นของอาจารย์สวยมากและเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่ง
ตอนกลาง เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักเรียนชายและนักเรียนหญิงคู่หนึ่งที่เริ่มโตจนเข้าสู่มัธยมปลาย ทั้งคู่อยู่โรงเรียนเดียวกันซึ่งอยู่ในที่ที่ออกจะห่างไกลเสียหน่อย ตอนนี้จะเป็นตอนที่พูดถึงความรู้สึกภายในใจของเด็กสาวคนนั้น
เป็นตอนที่บีบหัวใจมากจริง ๆ เพราะความรู้สึกของสาวนักโต้คลื่นนั้นได้ส่งมาถึงเราด้วย เธอทำให้รู้สึกว่าการสารภาพนั้นเป็นเรื่องที่ยาก ยากกว่าข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ยากกว่าข้อสอบปลายภาควิชาฟิสิกส์ การคำนวณต่าง ๆ เหมือนจะไร้ผลทันทีที่มีเรื่องของหัวใจเข้ามาเกี่ยวข้อง
ตอนท้าย ตอนท้ายของเรื่องที่เป็นเหมือนบทสรุปของเรื่อง เป็นเรื่องราวของเด็กชายคนเดิมกับเด็กผู้หญิงในตอนแรกที่ตอนนี้โตจนทำงานกันแล้วทั้งคู่ ทั้งสองได้มาพบกันอีกครั้ง กับบทสรุปของความสัมพันธ์ในครั้งนั้น..
เป็นแอนิเมชั่นที่ทำออกมาได้ละเมียดละไมมาก ดูมีความสุขุมนุ่มลึกแต่ก็แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดโดยเฉพาะในตอนที่ 2 ทากากิคุงหรือพระเอกของเรื่องมักจะมองออกไปยังฟ้ากว้างที่ไกลแสนไกลและมักส่งข้อความคุยกับใครสักคนอยู่ตลอดเวลา เหมือนจะบอกเป็นนัย ๆ ว่าในสายตาของเขาไม่ได้มีสาวนักโต้คลื่นอยู่เลย
เอาไงดี เอาเป็นว่าใครยังไม่สมหวังในความรักหรือกำลังพลัดพรากจากคนที่รักอาจทวีคูณความเหงาไปอีกหลายเท่าตัวเพราะเรื่องนี้ไม่ปล่อยให้เราสมหวังในสิ่งที่ค้นหาสักเท่าไร ถือเป็นอนิเมะที่ดูแล้วจะมีแต่เหงาและเปล่าเปลี่ยวหัวใจกันซะมากกว่า แต่กับคนที่มีความรักสมหวังอยู่แล้วอาจจะพอบรรเทาอาการความรู้สึกคนเคยเหงาได้เป็นอย่างดีเพราะเหมือนเป็นการย้อนกลับไปตอนที่อยู่คนเดียวเฝ้าคิดถึงคนที่รัก เป็นการมองกลับไปว่าตัวเองยังไม่ลืมหรือทิ้งคนนั้นให้หายไป ซึ่งการจะผ่านจุดนั้นมาได้คงไม่มีใครปฏิเสธว่ามันยาวนานกว่าสิ่งใด
เรื่องราว 3 ช่วงเวลา ได้แก่ วัยเด็ก วัยรุ่น และวัยทำงาน โดยช่วงเวลาทั้งหมดจะเล่าเป็นเส้นตรงแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของ ทากากิ โทะโนะ กับ อาการิ ชิโนะฮะระ ที่ทั้งคู่ต่างสนิทสนมกันตั้งแต่ชั้นประถม แต่ทั้งคู่ต้องพลัดพรากจากกันด้วยหลายเหตุผล ไม่ว่าจะห่างกันหรือยาวนานแค่ไหนยังคงคิดถึงต่อกันอยู่เสมอ ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดได้แบ่งเป็น 3 ตอนสั้นที่ร้อยเรียงแบบไม่ต่อเนื่องและเว้นช่วงของเหตุการณ์เพื่อให้เห็นถึงความห่างไกลที่นานแสนนานแม้เรื่องราวทั้งหมดจะยาวเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้น
รีวิว 5 Centimeters Per Second (2007)
เป็นเรื่องระหว่างทากากิ โทะโนะ กับ อาการิ ชิโนะฮะระ กับจุดเริ่มต้นของทั้งสองสมัยวัยเด็กที่ต่างชอบอะไรคล้ายกันจนอยู่ด้วยกันและถูกเพื่อนร่วมห้องแกล้งแซวเพราะความสนิทสนม ทว่าการที่ทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกันไม่ได้แปลว่าต้องอยู่ด้วยกันเสมอไป
สุดท้ายต้องแยกทางตามรูปแบบชีวิตที่ไม่เหมือนกัน กระนั้นยังคงวินวอนส่งข้อความความคิดถึงผ่านจดหมายอยู่เสมอ ซึ่งทั้งสองตั้งใจสัญญาจะเจอกันที่ท่ารถไฟแห่งหนึ่งโดยไม่รู้ว่ากว่าจะเจอกันนั้นต้องรออีกนานแค่ไหนถึงจะพบหน้าอีกครั้ง
ดำเนินเรื่องโดยหลักไปที่ทากากิด้วยอารมณ์แสนเปล่าเปลี่ยว ตลอดการเล่าเรื่องเต็มไปด้วยความอึดอัดใจของการรอคอยที่อุตส่าห์ตั้งใจนั่งรถไฟมาหาแต่ไม่ได้เจอกันสักที ระหว่างทางเต็มไปด้วยอุปสรรคของคนที่รอด้วยเวลาที่นานมากขึ้น
ถ้าคนที่ไม่ลึกซึ้งอะไรมากจะไม่ต่างกับคนมีอาการเพ้อฝันที่เต็มไปด้วยความปรารถนาอยากพบหน้าตลอดเวลา แต่กับคนที่เห็นความสำคัญของคำว่าห่างไกลจะพบว่าการพบเจอกันสักครั้งมีความหมายที่ยิ่งใหญ่ ฉะนั้นการพบกันระหว่างทากากิกับอาการิจึงอัดแน่นด้วยความหดหู่ตลอดทาง การพบหน้าเจอกันจึงวิเศษและเหนือสิ่งอื่นใดคือคำมั่นสัญญาใต้ต้นซากุระ
คานาเอะ ซุมิดะ เป็นตัวละครหลักประจำตอนที่แอบชอบและหลงรักทากากิ ทว่าไม่ว่าจะไล่ตามเพียงใดก็ไม่อาจได้รับการตอบแทนในจุดนั้นเลยสักครั้งเดียว ที่สำคัญทุกครั้งมักจะเห็นทากากิพิมพ์ข้อความอยู่เสมอ ซึ่งส่งถึงใครนั้นคงมีแต่เจ้าตัวและผู้ชมที่รู้ได้
มีเพียงคานาเอะที่นึกฉงนใจในตัวทากากิว่าทำไมถึงไม่มีที่ว่างให้เธอเลย ไม่ว่าจะพยายามหรือเข้าหาก็ไม่อาจได้รับความรู้สึกเช่นนั้นได้ นั้นทำให้ต้องกล้าตัดสินสภาพรักให้รู้เรื่องไปเลย แต่สุดท้ายคานาเอะตัดสินใจเลือกในหนทางที่สบายใจกว่า
ตอนนี้ไม่ได้เชื่อมโยงในตอนแรกหรือตอนสุดท้าย แต่เป็นการเล่าระหว่างเรื่องทั้งสองได้อย่างดีถึงการเปลี่ยนแปลงที่ต้องห่างไกลจนเติบโตเรียนมัธยม ซึ่งทากากิยังคงเป็นคนเดิมที่ยังเฝ้ารออาการิ และพยายามส่งข้อความอยู่เสมอ
(แต่ใครจะไปรู้ว่าข้อความเหล่านั้นไม่ต่างกับความคิดถึงในตอนนี้ที่ส่งไปยังไงก็ไม่มีรับรู้) จากเรื่องแสดงให้เห็นความมุ่งมั่นต่อการรักษาสัญญาที่มิลืมเลือน แต่ได้กลายเป็นอุปสรรคต่อคานาเอะที่ไม่อาจเข้าถึงตัวตนทากากิได้เลย นับเป็นตอนที่น่าเห็นใจและทรมานจิตใจ
เฉกเช่นทากากิคือนักบินอวกาศที่เดินทางอย่างไร้จุดหมายเพื่อรออาการิ โดยคานาเอะไม่ต่างกับโลกที่สุดท้ายไม่อาจควบคุมให้จรวดอยู่บนโลกอย่างที่ตัวเองพยายาม
ความรู้สึกหลังดู
อาการิเคยบอกทากากิถึงการร่วงของซากุระด้วยความเร็วเฉลี่ยนห้าเซนติเมตรต่อวินาที และเป็นคำมั่นสัญญาว่าจะพบกันอีกครั้งเพื่อมาดูซากุระร่วงโรย แต่นั้นคงเป็นเพียงอดีตที่ผ่านมานานแล้วกับตอนนี้ที่เข้าสู่วัยทำงาน โดยเรื่องหลักยังคงเน้นไปที่ทากากิที่นึกย้อนวันเวลาความทรงจำเก่าๆ
การใช้ชีวิตไม่ปกติเพราะความคลางแคลงใจที่เฝ้ารอและโหยหาอาการิ ซึ่งไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสพบเจอหน้ากันอีกครั้งหรือไม่ คำมั่นสัญญาได้เลือนหายไปกับจดหมายที่ไม่มีส่งมาอีกเลย
บทสรุปที่ซึมเศร้าแต่ดูมีความหมายและจริงใจต่อชีวิตจริง แม้จะดูหลงตัวเองกับเรื่องราวคราวอดีต แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าคือเรื่องจริงที่ยังเฝ้ารออยู่เสมอไม่เปลี่ยนแปลง ผิดกับอาการิที่ไม่ได้เฝ้ารอหรือนึกห้วนคืนวันเวลาอีกแล้ว ในตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าอยู่แห่งหนใด
เมื่อต่างคนต่างแยกทางและไร้การติดต่อก็คงไว้แต่ช่องว่าง สำหรับทากากิเลือกจะรอต่อไปถึงแม้ทังชีวิตจะดูเบื่อหน่าย ส่วนอาการิเลือกใช้ชีวิตของตัวเองด้วยคนรักที่ตัวเองจะแต่งงานด้วย ทว่าก็ใช้จะลืมเรื่องอดีตไปเสียทีเดียวเพราะยังคงเก็บเอาไว้ในกล่องที่เปิดดูก็ยังเป็นความทรงจำที่ดีกับจูบแรกของเธอและเขา
ใจอยากให้ตั้งชื่อเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ 5 Centimeters Per Second เพราะเห็นด้วยกับคำวิจารณ์ที่ชื่อไม่ได้มีส่วนสำคัญกับเรื่องทั้งหมด แต่ไม่ได้นึกผิดใจอะไรถ้าจะเทียบกับชีวิตเหมือนซากุระที่ร่วงโรยไปตามคนละทิศคนละทาง
ถ้าเปรียบชีวิตคนก็ล้วนมีหนทางต้องไปของตัวเอง แม้จะมีคำมั่นสัญญาที่ยาวนานและรอคอยเพียงใดก็ใช่จะกลับมาทำได้อีกครั้งเพราะทางเลือกที่เพิ่มขึ้นจากระยะทางที่ห่างไกลและเวลาที่ยาวนาน ซึ่งเรื่องนี้ได้พิสูจน์ถึงเส้นทางและเวลาที่เป็นจุดเปลี่ยน ต่อให้ดีแค่ไหน ลึกซึ้งเพียงใด ก็ใช่จะกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้งในวันเวลาที่ต่างไปจากเดิม
One More Time, One More Chance เป็นเพลงประกอบที่ใช้ในจังหวะท้ายเรื่องได้อย่างถึงอารมณ์ เต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายเช่นเดียวกับความหมายที่ไม่ได้จมปลักอยู่ความรักที่งมงาย มีหลายอย่างที่สะท้อนออกมาจากชีวิตที่แม้จะดูน่าหดหู่และเจ็บปวดกับคนที่รู้ความจริง
แต่เป็นเรื่องที่ง่ายและทำใจหากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าชีวิตเหมือนทากากิที่เฝ้ารออย่างไม่รู้อะไรเลยคงเจ็บปวดอยู่ไม่น้อยเพราะยิ่งนานวันยิ่งไม่มีทางเกิดขึ้นจริง จนที่สุดจะทำใจได้หรือไม่คงมีแต่ต้องดำเนินชีวิตต่อไปเองเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญคือไม่ว่าจะผูกผันมากแค่ไหน ถ้าไม่ใช่ก็ต้องคลายจากกันอยู่ดี
นับเป็นอนิเมะที่ดูแล้วทรมานใจแต่ทำใจได้ในเวลาเดียวกัน มีทั้งทุกข์และสุข(แต่ทุกข์มากกว่า) มีหลายอย่างสะท้อนเรื่องความรักที่ไม่สมหวังได้อย่างน่าหดหู่และสิ้นหวัง กระนั้นในความผิดหวังกับเต็มไปด้วยความสวยงาม ไม่ว่าจะลายเส้น การวางฉาก แสงสีเงา
ทั้งหมดให้อารมณ์ที่อบอุ่นและนุ่มนวลกับโทนเรื่องที่เล่าถึงปมตัวละครอย่างหมดหวังตายอยาก เสียดายที่เนื้อเรื่องค่อนสั้นเพื่อให้ดูเข้าใจง่าย แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าเสริมจุดหรือรอยต่อที่หายไปว่าทำอะไรกันอยู่บ้าง การจะมารู้ว่าตัวละครหรือเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แทบจะทันทีก็ดูง่ายไปบ้าง แต่ในความง่ายได้แฝงความลำบากใจอยู่ไม่น้อยเพราะสุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับเวลาและระยะทาง
ความน่าสนใจของหนังอนิเมะ “5 Centimeters Per Second ยามซากุระร่วงโรย” อยู่ตรงที่ตัวหนังแสดงให้คนดูเห็นถึงความทรงจำเกี่ยวกับรักแรกซึ่งเกิดขึ้นกับหลายคน ทำให้เราที่ไม่เคยมีรักแรกได้เข้าใจว่าทำไมบางคนแม้เวลาจะผ่านไปหลายสิบปีมีลูกมีภรรยาแล้วก็ยังคงพูดถึงรักครั้งแรกด้วยความสุขที่ไม่อาจลืม
ซึ่งต้องขอชื่นชมอาจารย์มาโคโตะ ชินไคที่เป็นผู้กำกับมากเลย แค่ได้ยินชื่อของท่านก็รู้แล้วว่าหนัง “5 Centimeters Per Second ยามซากุระร่วงโรย” ต้องมีความดราม่าและเรียลกินใจสูงปรี๊ดแน่นอนแล้วก็จริงด้วยเพราะพอเราดูจบไปเป็นอาทิตย์ก็ยังหน่วงและติดภาพเรื่องราวของนางเอกเหมือนตัวเองเป็นพระเอกอย่างนั้น การรอคอยที่จะทำตามคำสัญญาคู่กับการพยายามลืมเรื่องของรักแรกมันยากมากนะ
หากคุณยังคงปิดใจและเอาแต่สร้างกำแพงไม่รับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามา เหมือนกับทาคากิที่แม้จะย้ายโรงเรียนไปอยู่บนเกาะห่างไกลตอนมัธยมปลายก็ยังคงคิดถึงอาการิเสมอ ถึงเขาจะพยายามเพิกเฉยและลืมเรื่องของเธอไปจวบจนเข้าสู่วัยทำงานมีแฟนแต่ด้วยใจเขาจริง ๆ ยังมีแต่อาการิเสมอจึงทำให้เขาไม่สามารถทนฝืนคบกับคนอื่นได้อีก จนถึงขั้นไม่สามารถทำงานได้จึงลาออกเหมือนว่าทุกอย่างในชีวิตของพระเอกอยู่มาได้เพื่อหวังจะได้เจอนางเอกและดูซากุระด้วยกันอีกครั้ง
ต่างกับฝ่ายนางเอกที่ไม่ได้รับจดหมายจากพระเอกเลยจึงเลือกที่จะตัดใจและเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่สนุกสนานจนแต่งงานกับคนที่รัก ไม่ยึดติดกับอดีตยิ่งได้ฟังเพลง One More Time, One More Chance ที่ประกอบหนังเล่าถึงชีวิตของแต่ละฝ่ายเพื่อสรุปตอนจบแบบไม่มีบทสนทนาก็ยิ่งทำให้เราขนลุกและน้ำตาไหลออกมาทันที
หนังอนิเมะ “5 Centimeters Per Second ยามซากุระร่วงโรย” ได้ถ่ายทอดเรื่องราวความรักของ “ทากากิ” และ “อาการิ” ซึ่งผูกพันกันมาตั้งแต่ตอนเรียนชั้นประถมด้วยกัน เพราะเป็นเด็กตัวเล็กจึงมักถูกเพื่อนแกล้งอยู่เสมอจึงสนิทกันจนเป็นรักแรกของกันและกัน
แต่เมื่อขึ้นระดับมัธยมต้น อาการิก็ต้องย้ายโรงเรียนไปอยู่ในเมืองที่ห่างไกลแต่ทั้งคู่ก็ยังนัดเจอกันและได้จูบกันท่ามกลางหิมะโดยสัญญาว่าจะเขียนจดหมายถึงกันและรอวันที่จะได้ดูซากุระด้วยกันอีกครั้ง
ทว่าขากลับในระหว่างขึ้นรถไฟ ทาคากิก็ทำจดหมายของอาการิซึ่งมีที่อยู่ของเธอปลิวหายไปทำให้ทั้งคู่ขาดการติดต่อกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แต่เพราะสัญญาและความผูกพันที่เธอกับเขามีให้กันจึงทำให้เขาเอาแต่ติดอยู่ในคำสัญญานั้น
หนังอนิเมะ “5 Centimeters Per Second ยามซากุระร่วงโรย” ได้ให้ข้อคิดกับเราในเรื่องของการไม่ยึดติดอยู่กับอดีต จงปลดปล่อยตัวเองด้วยใจของเรา เพราะสายน้ำไม่มีวันไหลย้อนคืน คุณยังมีสิ่งใหม่ ๆ ที่ต้องทำและพบคนที่ดีอีกในวันข้างหน้า
หากยังอยู่กับอดีต ตัวคุณก็จะไม่สามารถเปิดใจรับอะไรได้จนชีวิตเกือบจะล้มเหลวเหมือนพระเอกอย่างไรล่ะ คำสัญญาไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นไปได้เสมอไปด้วยความเปลี่ยนแปลงของชีวิตเรา ฉะนั้นคำสัญญาจึงไม่มีน้ำหนักพอสำหรับอนาคตเมื่อคุณได้ทำมันจริง ๆ แม้จะไม่มีคำสัญญาแต่แค่ได้เจอกันโดยบังเอิญก็ทำให้คุณรู้สึกมีความสุขมากแล้ว
ถ้ามีคนถามผมว่าอนิเมะเรื่องไหนที่ภาพสวยที่สุดในโลก ถ้าสัก 10 ปีก่อนอาจจะยังตอบไม่ได้ ตอนนี้ชัวร์แท้แน่นอน ถึง Makoto Shinkai จะสร้างอนิเมะภาพสวยโคตรๆแบบนี้มาแล้วหลายเรื่อง แต่ก็ไม่มีเรื่องไหนที่ผมรู้สึกว่าพอดี ลงตัว และสวยงามได้เทียบเท่า 5 Centimeters Per Second คงเพราะเรื่องราวที่ถือว่าลงตัวเข้ากับงานภาพ (และมันสร้างอารมณ์ nostagia ให้ผมด้วย) ตอนอนิเมะ The Place Promised in Our Early Days (2004) งานภาพยังไม่สวยเท่าไหร่ ส่วนเรื่องล่าสุด The Garden of Words (2013) ก็สวยเกินไป เทคนิคพัฒนาขึ้นแต่เนื้อเรื่องมันเหมือนตามไม่ทัน 5 Centimeters Per Second นี่แหละที่ผมคิดว่า สวยพอดีลงตัวที่สุดแล้ว
ผมคิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ที่ภาพวาด 2 มิติจะสวยงามสมจริงจนถึงขั้น เท่ากับภาพถ่ายจริงๆนะครับ มันมีข้อจำกัดบางอย่างที่ภาพวาดทำไม่ได้ ผมก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่มันไม่เหมือนภาพ 3 มิติ ที่ปัจจุบันผมว่าสัก 90% แล้วในความเหมือน สมจริง กับภาพวาด 2 มิติ ยังถือว่าห่างไกลอยู่มาก ซึ่งความไม่เหมือนนี่แหละคือเสน่ห์ของภาพ 2 มิติ ดูแล้วรู้ว่าไม่ใช่ภาพจริงๆ เป็นภาพวาด
แนะนำหนังเรื่องนี้กับคออนิเมะทุกคน ภาพสวยมากๆ ตัดต่อเยี่ยม เพลงประกอบเพราะๆ เหมาะสำหรับนักดูหนังที่ชอบแนวซึมซับบรรยากาศ ต้องการดูแล้วผ่อนคลาย เนื้อเรื่องไม่เยอะแต่อารมณ์เต็มอิ่ม, คนที่มีประสบการณ์การดูหนังมาพอสมควร จะสามารถมองเห็นความสวยงามที่มากกว่าแค่ภาพสวยและเพลงเพราะ, จัดเรต PG ดูได้ทั้งครอบครัวก็จริง แต่เด็กเล็กๆคงไม่เข้าใจ วัยรุ่น 13+ ขึ้นไปกำลังดี คนชอบงานศิลป์สวยๆ อนิเมะเรื่องนี้แนะนำเลยครับ สวยแบบตะลึงแน่นอน