รีวิว 9 Sastra 9 ศาสตรา
หลายคนน่าจะได้ทราบเรื่องราวมาบ้างแล้ว สำหรับ 9 ศาสตรา แอนิเมชั่นสุดยิ่งใหญ่ฝีมือคนไทยที่หลายคนรอคอย บอกเลยว่าครั้งนี้ Exformat Films จัดเต็มจัดใหญ่ สมกับเวลา 4 ปี และทุนสร้างกว่า 230 ล้านบาทแน่นอน ห่างหายจากการได้ชมภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่เป็นพูดได้เต็มปากว่าเป็นฝีมือคนไทย เขียนบทโดยคนไทย ทีมงานเกือบทั้งหมดเป็นคนไทย แถมยังมีผลงานที่ถ้าตัดสินจากตัวอย่างก่อนเข้าไปชมจริงๆ คือความทะเยอทะยานที่ได้ผลออกมางานดีและเนียนมาก ‘9 Sastra/9 ศาสตรา’ วันนี้ คงได้เวลาที่จะหยิบยกมาเขียนถึงกัน
ชิ้นงานในด้านนี้ของคนไทยนั้นมักจะออกมาเป็นหนังใหญ่ไม่มากนัก ยิ่งเมื่อเทียบกับของต่างประเทศที่เราจะได้รับชมกันหลายเรื่องในแต่ละเดือน คำชมที่เริ่มหนาหูขึ้นเรื่อยๆ นอกเหนือจากที่รู้สึกเองจากการได้ชมตัวอย่าง ชักพาให้รู้สึกว่านี่คงเป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรจะพลาดไปชมด้วยสายตาตัวเองในโรงภาพยนตร์
ในโลกของ 9 ศาสตรานั้นว่าด้วยเรื่องราวของมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันกับสิ่งมีชีวิตหลากหลายเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ โดยรามเทพนครเมืองมนุษย์ที่เคยรุ่งเรืองนั้นตกอยู่ในการปกครองของคนยักษ์ และจับมนุษย์ไปเป็นทาส
เรื่องราวถูกเล่าผ่าน “อ๊อด” เด็กหนุ่มที่ชะตาลิขิตให้เป็นส่วนหนึ่งในการกอบกู้อาณาจักร รามเทพนคร แผ่นดินเกิดของเขาให้รอดพ้นอำนาจของ เทหะยักษา
อ๊อด ได้ฝึกฝนเคี่ยวกรำ ร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้มวยไทย จากครูมวยอันดับหนึ่งของแผ่นดิน อ๊อด มีภารกิจอันยิ่งใหญ่ ในการนำสุดยอดศาสตราวุธ 9 ศาสตรา ไปมอบให้องค์ชายรัชทายาทแห่ง รามเทพนคร เพื่อใช้ในการกอบกู้อาณาจักร พร้อมกับพลพรรคเพื่อนพ้อง
อ๊อด ได้ฝึกฝนเคี่ยวกรำ ร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้มวยไทย ที่เคยหายสาบสูญไป จากครูมวยอันดับหนึ่งของแผ่นดิน โดย อ๊อด มีภารกิจอันยิ่งใหญ่ ในการนำสุดยอดศาตราวุธ ไปมอบให้องค์ชายรัชทายาทแห่ง รามเทพนคร เพื่อใช้ในการกอบกู้อาณาจักร พร้อมกับพลพรรคเพื่อนพ้อง ไม่ว่าจะเป็น “เสี่ยวหลาน” โจรสลัดอากาศสาวงามชาวจีน และยังมี ลิงทะโมน นามว่า “วาตะ” เจ้าชายแห่งอาณาจักรลิง รวมถึง “อสูรสีชาด” ยักษ์สีแดงร่างใหญ่ใจดี
สุดท้ายนี้ อ๊อด และพรรคพวกจะสามารถทำภารกิจนี้ให้สำเร็จอย่างไร เขาจะคว้าชัยชนะในศึกครั้งใหญ่กับกองทัพโหดทมิฬมหึมาของเหล่ายักษาได้หรือไม่ ใครคือวีรบุรุษที่จะมาช่วยปลดปล่อยประชาชนที่ตกเป็นทาสจากอำนาจมืดนี้ ติดตามได้ใน ภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่ยิ่งใหญ่ตระการตา และสนุกตื่นเต้นครบรสทุกอารมณ์
เปิดปีรับศักราชใหม่วงการหนังไทยก็มีหนังมาทำให้ชื่นใจตั้งแต่หัวปีแล้วกับ ๙ ศาสตรา หนังอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์ที่จัดเต็มกับทุนสร้างกว่า 230 ล้านบาท ที่มาพร้อมกับความแอคชั่นระทึกขวัญตื่นตาตื่นใจไปกับความแฟนตาซีและความตลกสนุกสนาน เรื่องราวของ อ๊อด เด็กหนุ่มที่ออกเดินทางผจญภัยเพื่อนำ ๙ ศาสตรา อาวุธลับในตำนานกลับไปยัง
เมืองรามเทพบ้านเกิดของตัวเองที่ถูกกองทัพยักษ์รุกรานและยึดเป็นฐานที่อยู่ของพวกตัวเอง ระหว่างทางอ๊อดก็ได้เจอกับมิตรภาพมากมายที่มาช่วยต่อสู้กับเหล่าศัตรูและภยันตรายที่เข้ามา จนในที่สุดก็พากันไปถึงรามเทพ(ที่ไม่เกี่ยวกันแต่ก็ทำให้นึกถึงจตุคามรามเทพอยู่ร่ำไป) อ๊อดและผองเพื่อนได้แฝงตัวเข้าไปในรังของผู้ปกครองยักษ์เพื่อปลดแอกเชลยทั้งหลายรวมทั้งช่วยเหลือเจ้าชายแห่งรามเทพและส่งมอบ ๙ ศาสตราให้ถึงมือเจ้าชาย
หนังเปิดเรื่องมาก็พาเข้าฉากแอคชั่นสุดระทึกกันเลย กับงานภาพที่ละเอียดทั้งการออกแบบการต่อสู้และตัวละครต่างๆ ไปจนถึงการเคลื่อนไหวในฉากแอคชั่นที่ไหลลื่นชวนตื่นตาตื่นใจมากกว่าหนังอนิเมชั่นของไทยเรื่องไหนๆ ที่เคยมีมา สัมผัสได้ถึงความตั้งใจดีบวกกับฝีมือของคนทำตั้งแต่แรกเริ่ม แต่น่าเสียดายที่หลังจากฉากแอคชั่นตะลุมบอนกลางสาย
ฝนนั้นหนังก็พาเข้าสู่ช่วงปูเรื่องราวเรื่อยเอื่อยมากไปเสียหน่อย งานภาพยังดีอยู่แต่ปัญหาที่ส่วนตัวรู้สึกคือการเล่าแนะนำให้ทำความรู้จักตัวละครผ่านชั้นเชิงบทที่ราบเรียบจำเจและง่ายจนสามารถคาดเดาแต่ละก้าวย่างของตัวละครมากไปหน่อย จนความน่าเบื่อมาเยือนในช่วงแรกก่อนที่การออกเดินทางผจญภัยจะมาถึง โดยเฉพาะในตอนที่พ่อต้องบอก
ความจริงที่ปกปิดมานานกับอ๊อดนั้นไร้ชั้นเชิงจนขาดมิติมากจนน่าเสียดาย จนมาถึงฉากที่อ๊อดขว้าง ๙ ศาสตราทิ้งพร้อมกับพูดประโยคสุดแสนจะคลิเชจนต้องขมวดคิ้วให้ด้วยความที่เสียดายแทนว่า ถ้าหากคิดเกลาบทพูดเพื่อลดทอนความจงใจให้เป็นธรรมชาติมากกว่านี้น่าจะดีต่อความรู้สึกในแต่ละฉากละตอนสำคัญไม่น้อยเลย
รีวิว 9 Sastra 9 ศาสตรา
เจอพื้นที่และตัวละครใหม่ๆ ที่มีเสน่ห์และน่าทำความรู้จักตั้งแต่ลิงตัวแดงเจ้าชายเมืองลิงที่เคยถูกยักษ์รุกราน กับยักษ์ตัวแดงที่หนีออกนอกเมืองยักษ์และกลายมาเป็นสหายกัน และนายหญิงสำเภาโจรสลัดอากาศชาวจีนสาวสวยที่มาทำให้พระเอกอ๊อด
เกิดความหวั่นไหวครั้งแรกในวัยหนุ่ม รวมถึงตัวละครฝ่ายร้ายอย่างแม่ทัพยักษ์ และนักฆ่าขี่ครุฑที่ตามล่าพระเอก ตัวละครสำคัญทั้ง 6 ถูกออกแบบมาให้มีเสน่ห์และมีพื้นหลังชีวิตความเป็นมาที่มีมิติเพียงพอให้ชวนติดตามความเป็นไป
แต่น่าเสียดายจนต้องถอนหายใจเมื่อเวลาปมบางอย่างของบางตัวละครถูกเปิดเผยกลับขาดมิติและทำให้ความน่าสนใจที่มีราบเรียบไปกับการยัดเยียดและความจงใจที่อยากจะให้ตัวละครคิดและเป็นไปตามใจอยากอย่างเห็นได้ชัด
แน่นอนว่าบทโดยรวมยังเป็นปัญหาสำคัญของอนิเมชั่นเรื่องนี้โดยเฉพาะการหาทางออกให้ตัวละครด้วยความไทยๆ แบบโต้งๆ จังหวะแสงอาทิตย์ผุดมาพร้อมวลีเวรระงับด้วยการไม่จองเวรนั้นยังคงเป็นฉากที่น่าชวนเลี่ยนเอียนและน่าเสียดายที่สุด
ทั้งที่การขุดลึกปมตัวละครร้ายในฉากนั้นนับว่าเป็นหนึ่งในความสร้างสรรค์ที่น่าค้นหาและน่าขบคิดที่สุดตามบริบทบ้านเมืองไทยในโลกภาพยนตร์ แต่หนังก็ไม่ได้ใส่ใจและนำพาไปถึงไหน แถมตัดบทด้วยการยัดจับวางสร้างความดีแบบฉาบฉวยขึ้นมาผลิบานกลางใจตัวละคร น่าเสียดายสุดๆ
แต่ถึงอย่างนั้นโดยรวมแล้วก็ยังคงเป็นหนังที่ดูสนุก ฉากแอคชั่นที่อาจจะชวนลายตาในบางขณะแต่ก็ชวนตื่นตาตื่นใจสัมผัสได้ถึงแพสชั่นความหลงใหลและตั้งใจจริงของทีมผู้สร้างที่วาดหวังจะให้หนังออกมาดีที่สุด
เป็นหนังที่ควรสนับสนุนเพื่อที่จะให้คนทำหนังได้มีทุนทั้งกำลังใจและกำลังเงินที่จะสร้างสรรค์ผลงานดีๆ ยิ่งๆ ขึ้นไปออกมาให้ได้ชมกันอีก นับว่าเป็นอีกปีที่วงการหนังไทยมีหนังเปิดปีที่น่าตื่นตาตื่นใจทีเดียว
หาก ๙ ศาสตราฉายปลายปีที่แล้วตามกำหนดเดิมอย่างที่เคยได้ยินมาก็แน่นอนเลยว่าจะกลายเป็นตัวเก็ง 1 ในหนังลุ้นรางวัลได้กระทั่งหนังยอดเยี่ยมในเวทีระดับประเทศได้ไม่ยากเย็น อย่างน้อยๆ ก็เวทีป๊อปปูล่าอย่างสุพรรณหงส์
ซึ่งพอไล่นับหนังดีๆ นอกเหนือจากหนังสารคดีดีๆ ที่พอจะชิงหนังเยี่ยมได้ด้วยมือข้างเดียวก็ยังนับได้ไม่ครบนิ้ว แต่ในปีนี้ที่มีหนังนอกกระแสที่เพิ่งผ่านเวทีระดับนานาชาติและได้รับคำชื่นชมหนาหูมาสองสามเรื่องก็คงทำให้คนที่เชียร์ ๙ ศาสตราต้องออกแรงเชียร์กันมากหน่อยแล้วล่ะ ขอย้ำว่าเป็นหนังน่าสนับสนุนที่เชียร์ให้ไปดูกันเยอะๆ อย่าปล่อยให้ชะตากรรมเป็นเหมือน เปรมิกา
ความรู้สึกหลังดู
บทบาทของภาพยนตร์ 9 ศาสตรา
เรื่องราวในช่วงแรกดำเนินไปแบบเรื่อยๆ ค่อนข้างน่าเบื่อเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องราวเบื้องต้นที่ต้องเล่าให้ครบถ้วน แต่หลังจากที่เข้าฉากต่อสู้แล้วก็ต้องร้อง อื้อหืออออ
ช่วงกลางเรื่องขึ้นไป บทมีความสนุกและน่าติดตามมากขึ้น จนไปพีคในช่วงสุดท้าย
บทของเรื่องไม่ได้ซับซ้อนอะไรนัก พอคาดเดาเนื้อเรื่องทั้งหมดได้อย่างไม่ยาก แต่ในระหว่างทางเองก็มีเรื่องราวที่เซอร์ไพรส์ผู้ชมพอสมควรเลย
บทดราม่าไม่ได้ถึงกับเข้มข้นมาก แต่ก็ไม่ได้เลี่ยน ถือว่าใช้ได้ เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับทุกวัย
ตัวละคร/เสียงพากย์
ผู้เขียนเองเสพภาพยนตร์แอนิเมชั่นและเล่นเกมมาค่อนข้างมาก แต่ก็ชื่นชอบ Character design ของภาพยนตร์เรื่องนี้ในระดับประทับใจ เรียกว่าโคตรเท่ เท่ตั้งแต่กลุ่มพระเอก
ยันตัวประกอบ มีหลายสิ่งที่ไม่เคยได้เห็นจนทำให้ตื่นตาตื่นใจพอสมควรเลย
ที่ตัวผมเองชอบมากคือยักษ์แดงสีชาดตอนที่พี่แกถึงจุดพีค และวาตะตอนเปิด Ultimate Skill ซัดฝ่ายตรงข้าม ด้วยบทดราม่าที่พามา และความสุดยอดของ CG ทำให้ตอนนั้นเรียกว่าสุดเหมือนกันการพากย์เสียงทำได้ลื่นไหลดี ไม่มีสะดุด ถ้าใครได้มีโอกาสดูเบื้องหลังของนักพากย์จะพบว่าเค้าต้องซ้อมกับตัวละครเพื่อให้อินกับบทแบบสุดๆ
สุดยอดซาวน์จากวงออร์เคสตราระดับโลก
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากและเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ 9 ศาสตรามีความอลังการจนสุดได้ คือการออกนอกกรอบเดิมว่าหนังไทยหรือแอนิเมชั่นไทยจะต้องมีซาวน์ประกอบเป็นเสียงบรรเลงดนตรีไทยจากเครื่องดนตรีไทยจ๋าๆ
แต่ 9 ศาสตราจัดเต็มออร์เคสตรามาเลยจ้า ผู้ควบคุมและประพันธ์เพลงในเรื่องนี้คือ Ryan Shore นักประพันธ์ระดับฮอลลีวู้ดดีกรีรางวัลแกรมมี่ ที่มีผลงานดนตรีในหนังและซีรีย์มาหลายเรื่อง ทำให้ผู้ชมอินในแต่ละฉากของ 9 ศาสตราได้ง่าย
นอกจากนี้ยังมีเครื่องดนตรีจีนอย่างกู่เจิงของนางเอกและขลุ่ยของพระเอกที่ประสานกันได้อย่างลงตัว
ความน่าสนใจตั้งแต่วินาทีแรกของหนังแอนิเมชั่นเรื่องนี้เลย ก็คือ งานเสียง ที่ค่อนข้างกระหึ่ม และมีมิติ ผมรู้สึกได้ก่อนที่จะมองงานภาพเสียอีก เพราะงานภาพนั้น เราเห็นมันแล้วจากตัวอย่างที่เห็นชัดว่าคุณภาพโดดเด่นกว่าอีกหลายเรื่องที่เป็นชิ้นผลงานของคนไทย
เพราะฉะนั้น สองจุดนี้คือความเด่นที่เด้งออกมาชัดเจน
นอกจากงานเสียงที่มิกซ์มากระหึ่มแล้ว ดนตรีประกอบก็ถือว่าช่วยส่งเสริมความสนุกฮึกเหิมให้กับเรื่องราวอย่างมาก
งานภาพก็แสนโดดเด่น การเคลื่อนไหวของตัวละครในระหว่างการต่อสู้ที่ฉับไวนี่เห็นได้ชัด มีการเคลื่อนกล้องไปมาสร้างอารมณ์การช่วยลุ้นได้ค่อนข้าง เลือกใช้ช็อตสโลว์โมชั่นเป็นบางช่วงเพื่อให้เกิดความหลากหลาย ช่วงมืดช่วงสว่าง ทำได้คมทุกสภาพแสง
งานนี้คงต้องชื่นชมว่า ทำออกมาได้ดีกว่าทุกงานที่เคยได้ดูจริงๆ
ถ้าจะมองในส่วนของเรื่องราว มันมีความเป็นไทยปรากฏอยู่ตรงที่พระเอกใช้มวยไทยในการต่อสู้ ผสมด้วยเรื่องราวแนวแฟนตาซีของอาวุธที่เสริมความเก่งกาจในเชิงแม่ไม้มวยไทยอย่าง ‘9 ศาสตรา’ และเรื่องราวการชิงเมืองคืนจากเหล่ายักษา ซึ่งตรงนี้อาจจะมีกลิ่นอายความเป็นอินเดียเข้ามาผสมออยู่หน่อยๆ
แต่ด้วยความการเดินเรื่องมันดูเป็นเส้นตรง มีเซอร์ไพรซ์หักมุมอยู่บ้าง ก็เลยอาจจะทำให้คนที่แสวงหาความแปลกใหม่อาจไม่ถึงกับสมหวังมากเท่าที่ควร
สิ่งที่หนังดูสนุกขึ้นกลับเป็นการหยิบยืมกลิ่นและของดีของหนังหลายๆ เรื่องมาปรับใช้ อาจทำให้รู้สึกคุ้นตาบ้าง แต่ตัวลายเส้นและลักษณะของคาแรคเตอร์ต่างๆ ก็ดูมีความไทยอยู่ในนั้น
แถมยังมีความพยายามจะสร้างสรรค์ตัวละครที่มีความแตกต่าง อย่าง ยักษ์แดงที่เป็นยักษ์แท้ๆ แต่กลับเลือกจะเดินทางไปกับพระเอก ตัวละครฝ่ายร้ายอย่างพรานทมิฬที่ทราบมาว่าเขาไม่ใช่ยักษ์แต่กลับรับใช้ ตรงนี้มันมีที่มาอยู่แต่ไม่ได้ถูกใส่ไว้ในเรื่องราว ขณะที่ตัวเจ้าชายวาตะ ที่เป็นลิงจอมก่อกวน แม้อาจจะไม่สำคัญอะไรกับเนื้อเรื่องแต่ก็อาจต้องการใส่เข้ามาเพื่อเพิ่มมุมความตลกให้กับหนัง
โดยรวม มันคือแอนิเมชั่นฝืมือคนไทย ที่มีความทะเยอทะยานอยู่สูง มีความตั้งใจที่มาพร้อมกับฝีมือ เลือกจะทำแอนิเมชั่นที่ไม่เจาะกลุ่มผู้ชมที่เป็นเด็ก แต่ก็อาจต้องหาพล็อตหรือวิธีการดำเนินที่แปลกใหม่กว่านี้สักนิด ได้แต่หวังว่า ‘9 ศาสตรา’ จะไปได้ไกลถึงเวทีโลก
เพื่อประกาศศักดาว่าคนไทยก็ทำงานแอนิเมชั่นเจ๋งๆ ได้เช่นกัน
ชื่อภาพยนตร์: 9 ศาสตรา / 9 Sastra: The Legend of Muay Thai
ผู้กำกับภาพยนตร์: กันย์ พันธ์สุวรรณ, ณัฐ ยศวัฒนานนท์
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: ณัฐ ยศวัฒนานนท์, ศุภชัย เหรียญสุวรรณ, ดารกา วงศ์ศิริ, ไบรอัน เอดเวิร์ด ฮิลล์ (Bryan Edward Hills)
นักแสดงนำ(พากย์): ไต้ฝุ่น กนกฉัตร มารยาทอ่อน, วรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์, สาวิตรี สุทธิชานนท์ (โบว์ AF5), รัชพล แย้มแสง (มิวสิค AF4), ศิริชัย เจริญกิจธนกุล, นิมิตร ลักษมีพงษ์, สะอาด เปี่ยมพงศ์สานต์
ดนตรีประกอบ: สุธี แสงเสรีชน
ประเทศ: ไทย
ความยาว: นาที
แนว/ประเภท: Animation, Fantasy, Action, Adventure
อัตราส่วนภาพ:
ปี: 2018
เรท: ไทย/, MPAA/
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 11 มกราคม 2561
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: M Pictures, Exformat Films (เอ็กฟอร์แมท ฟิล์มส์)