รีวิว A Silent Voice รักไร้เสียง
เราไม่เคยรู้จักและไม่เคยอ่านการ์ตูนมังงะ A Silent Voice หรือ Koe No Katachi มาก่อน ครั้งแรกที่เห็นเทรลเลอร์ของการ์ตูนอะนิเมะเรื่อง A Silent Voice ซึ่งชื่อไทยว่า รักไร้เสียง ผ่านมาหลายเดือนหลังจากได้ชื่นชม ‘Your Name’ ภาพยนตร์อะนิเมะจากญี่ปุ่นก็ได้รับโอกาสถูกนำเข้ามาฉายให้คนไทยได้ชื่นชมกันบ่อยครั้งขึ้น ด้วยกระแสความนิยมที่เพิ่มขึ้น ความมั่นใจที่มากขึ้นของคนดู ทำให้คนไทยได้ชม ‘A Silent Voice’ ในโรงหนังวันนี้
ภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่สร้างขึ้นจากมังงะของ โยชิโทกิ โออิมะ เรื่องนี้ ทาง Tokyo Animation เลือกให้ Naoko Yamada กำกับฯ หนังเข้าฉายในญี่ปุ่นไล่เลี่ยกันกับ ‘Your Name’ และได้รับเสียงตอบรับที่ดีไม่แพ้กัน
แล้วก็ได้เวลานั่งชมอะนิเมะเรื่องนี้ด้วยตัวเองแล้ว…
นี่ก็นึกว่าเป็นการ์ตูนแนวรัก ๆ โรแมนติกเหมือน Your Name ที่ประสบความสำเร็จเปรี้ยงปร้างในบ้านเราเมื่อปลายปีที่แล้ว แต่เอาเข้าจริง A Silent Voice เป็นการ์ตูนที่ดาร์ค รุนแรง และมีความเรียลอยู่ไม่น้อย เป็นการ์ตูนสะท้อนสังคมญี่ปุ่น ชีวิตวัยรุ่นกับมิตรภาพ ที่มาพร้อมกับปัญหา bullying, violence, และ suicide ซึ่งหลายฉากไม่ค่อยเหมาะกับเด็กนัก
โชยะ อิชิดะ (Miyu Irino) เป็นหนุ่มเกเรที่เติบโตมากับเพื่อนสนิท เขาดูจะชอบแกล้งเด็กสาวหน้าใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาอย่าง โชโกะ นิชิมิยะ (Saori Hayami) สาวหน้าใสหูหนวก เธอไม่อาจจะสื่อสารด้วยเสียงเหมือนคนอื่นๆ ต้องใช้สมุดช่วยเขียนโต้ตอบไปมา แต่ดูเหมือนว่า จะไม่มีใครยอมรับเธอเลย
โดยเฉพาะโชยะที่คอยจะกลั่นแกล้งโชโกะตลอดเวลา จนวันหนึ่ง เธอก็ออกจากโรงเรียนและหายหน้าหายตาไปเลย
ความสัมพันธ์ของพวกเขากับเพื่อนๆ ก็เปลี่ยนแปลงไป
ก่อนที่สองคนนี้จะได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในอีกช่วงเวลาหนึ่ง ความคิดที่เปลี่ยนไปทำให้เขาอยากจะกลับไปสานสัมพันธ์กันอีกครั้ง แต่ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องยากลำบาก ไม่ใช่แค่ความรักที่จะก่อเกิดระหว่างสองคนที่แตกต่าง
แต่ยังมีเพื่อนเก่าๆ ที่เขาไม่รู้จะย้อนวันเลวร้ายกลับมาแก้ไขอย่างไรดี
หน้าหนังมันอาจดูเหมือนเป็นหนังรักของชายหนุ่มหูปกติกับหญิงสาวหูหนวก แต่เมื่อได้พบกับหนังจริงๆ แล้วก็กลับได้พบว่า มันพูดถึงอย่างจริงจังในเรื่องอื่น โดยมีความรักเป็นองค์ประกอบหนึ่งเท่านั้นแหละ
เน้นไปที่ปัญหาวัยรุ่นในโรงเรียนเสียมากกว่า
หนังเริ่มต้นเรื่องมาก็มุ่งเน้นไปที่เรื่องราวในวัยรุ่นวัยเรียน ปัญหาที่ดูจะคล้ายๆ กันไปหมดไม่ว่าจะเป็นชาติไหนภาษาใดนั่นก็คือ การรังแกกันในระหว่างหมู่วัยรุ่น โดยหนังหยิบเอาแง่มุมของความแตกต่างด้านร่างกายมาเป็นตัวสร้างความสัมพันธ์ตัวละคร
เมื่อมีนักเรียนสาวคนใหม่หน้าตาน่ารัก แต่เธอไม่ได้ยินเสียงของคนอื่นๆ
รีวิว A Silent Voice รักไร้เสียง
เธอถูกกลั่นแกล้งต่างๆ นานา เพียงเพราะความแตกต่าง แม้ว่าเธอจะมีปัญหาด้านการสื่อสาร แต่เธอก็ไม่เคยแสดงอาการก้าวร้าว ซ้ำยังพยายามจะผูกสัมพันธ์กับพระเอก ไม่ว่าเธอจะถูกกระทำเลวร้ายอย่างไร ก็มีแต่เพียงคำ “ขอโทษ” เท่านั้นที่หลุดออกมา ทว่าความสัมพันธ์กับเพื่อนของโชยะขาดสะบั้นลง
…เมื่อเด็กเกเรคนหนึ่งกลับถูกป้ายสีอยู่คนเดียว
โลกของวัยรุ่นอาจเป็นช่วงเวลาของการแสวงหาก็จริง แต่ก็เป็นช่วงเวลาของการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ ‘รักไร้เสียง’ บอกกับเราว่า ทุกคนอาจเคยเป็นคนเลวกันมาก่อนทั้งนั้น ก่อนที่วันหนึ่ง ประสบการณ์จะสอนเราว่าอะไรคือสิ่งที่ “ควรกระทำ” ทั้งหมดก็ไม่ใช่เพื่อใครอื่น ..แต่ก็เพื่อตัวเราเอง
ในอีกมุมหนึ่ง คือหญิงสาวที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับความพิการทางการได้ยิน แต่ก็มีความพยายามที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ในสังคม แต่พอดีว่าช่วงเวลานั้น คนเรายังไม่รู้จักการยอมรับในความแตกต่างของคนอื่นสักเท่าไหร่ การหยอกและล้อกันแรงๆ จึงมักจะเกิดขึ้นในช่วงนี้ ถ้ามันจะทำให้คนที่รู้สึกมีปมด้อยบางคนรู้สึกเสียศูนย์ไป มันก็คงจะเป็นช่วงนี้
‘รักไร้เสียง’ จึงไม่ใช่หนังรักโรแมนติกอย่างที่เข้าใจแต่แรก มันเป็นเพียงส่วนเสี้ยวเท่านั้น เรื่องราวของหนังทั้งเรื่องจริงๆ มันคือการประสานรอยร้าวของสิ่งที่ตนทำมันพังกับมือ มันคือเยียวยาจิตใจตัวเอง
เพื่อก้าวข้ามผ่านความเจ็บปวดความรู้สึกผิดในอดีต และก้าวต่อไป
แสวงความหมายของคำว่า “เพื่อน” ได้ลึกซึ้งดี
ในวันที่โชยะเติบโตขึ้น ความรู้สึกผิดที่ถูกฝังอยู่ได้ผุดขึ้นมาอีกหนในวันที่ได้พบเจอเข้ากับโชโกะอีกครั้งโดยบังเอิญ เป็นไปได้ว่าความรู้สึกบางอย่างก็ได้ถูกปลุกขึ้นมาด้วย เขาจึงพยายามที่จะแก้ไขเรื่องราวผิดพลาดในอดีต และสิ่งที่เขาทำมันได้ผลบางอย่างกลับคืนมาด้วย
ในวันที่คนไร้เพื่อนอย่างเขา ได้พบว่าการมีเพื่อนมันดีเช่นไร แบบต้องคบกันแบบไหนถึงจะเรียกว่า “เพื่อน” มันกลายเป็นการค้นหาในอีกรูปแบบหนึ่งของชีวิตวัยรุ่น แม้มันไม่ง่ายที่จะทำให้คนที่ไม่สนิทใจต่อกันให้กลับมาเป็นเพื่อนอีกครั้ง มันต้องผ่านอะไรหลายอย่าง
ซึ่งหนังก็บอกอะไรบางอย่างกับเราได้มากพอสมควร
ดำเนินเรื่องดี มีขำฮา มีช็อตดราม่าชวนน้ำตาริน
มันมีส่วนผสมของมุมน่ารักชวนขำถึงขำกลิ้งในบางช่วง มีมุกฮาแทรกอยู่ในเรื่องราวเป็นระยะๆ ที่ทำให้เราได้ยิ้มออกบ้าง สลับกันไปเรื่องจริงจังของความสัมพันธ์
ขณะเดียวกัน หลายช่วงก็พาน้ำตาไหลรินไปหลายหยด
การดำเนินเรื่องของหนังมีความน่าสนใจตรงที่มักจะเดินไปข้างหน้าโดยทิ้งความสงสัยไว้ในใจคนดูเสมอๆ ก่อนจะกลับมาเฉลยในเวลาต่อมา การตามเรื่องให้ทันจึงต้องใช้สมองนิดนึง
แต่บางส่วนของบทก็ยังดูจะไม่สมเหตุผลอยู่บ้างในบางจุด และบางครั้งก็บิ๊วต์เกินจนรู้สึกได้ว่ามากไป นั่นทำให้ ‘รักไร้เสียง’ ยังไม่สมบูรณ์พร้อมพอจะให้คะแนนเต็ม
ความรู้สึกหลังดู
ในเรื่องสั้นเรื่องราวจบเพียงเท่านี้แต่ในมังงะเรื่องยาวนั้นก็ได้ขยายความรู้สึกและเรื่องราวหลังจากนั้นไปอีกค่อนข้างมาก ทั้งยังมีตัวละครออกมาอีกมากมายทั้งเพื่อนเก่าที่ไม่อาจมองหน้าติด และเพื่อนใหม่ที่พระเอกไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ จากเรื่องราวของการกลั่นแกล้งกันในฌรงเรียน เรื่องของคนพิการในสังคมคนปกติ ก็เริ่มหวานขึ้นด้วยเรื่องราวความรักที่ค่อย ๆ เกิดขึ้นช้า ๆ และเหนืออื่นใดทั้งเรื่องนี้คือเรื่องที่ว่าด้วยคำว่า เพื่อน และความสัมพันธ์ ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่าทุกคนเคยผ่านช่วงเวลาที่ทะเลาะกับเพื่อนหรือเข้าใจผิดกันยาวนานเช่นนี้แน่ๆ เรื่องราวเหล่านี้เองที่เป็นเนื้อหาที่ถูกนำมาถ่ายทอดในอนิเมชั่นความยาวสองชั่วโมงที่เราได้ชมกัน
สำหรับฉบับภาพยนตร์อนิเมชั่นนี้ได้มีการประกาศงานสร้าง ตั้งแต่ครั้งที่ลงตีพิมพ์ตอนจบในนิตยสารราว ๆ เดือนพฤศจิกายน 2014 และได้ออกฉายจริงที่ประเทศบ้านเกิดเมื่อเดือนกันยายนปีก่อนนี้เอง ซึ่งประสบความสำเร็จจากโรงฉายที่ไม่ได้มากมายเท่าอนิเมชั่นที่คุมโรงก่อนหน้าอย่าง Your Name (2016) แต่สามารถขายบัตรในสองวันแรกได้ไปถึง 2 แสนใบ และมียอดซื้อตั๋วตลอดโปรแกรมฉายถึง 1.6 ล้านใบทีเดียว อันนี้นับว่าเป็นระดับปรากฏการณ์สำหรับอนิเมชั่นสายดราม่าแบบสมจริงที่ไม่มีเรื่องแฟนตาซีมาช่วยเลยทีเดียว
โดยได้บริษัทอนิเมชั่นชั้นนำอย่าง เกียวโตอนิเมชั่น หรือที่คออนิเมะจะเรียกสั้น ๆ ว่า เกียวอนิ มารับหน้าที่ควบคุมการผลิต ซึ่งหายห่วงเลยเรื่องฝีมือ เพราะผ่านงานชิ้นโบว์แดงยอดนิยมอย่าง The Melancholy of Haruhi Suzumiya และ K-On! มาเป็นอาทิ ยิ่งได้ผู้กำกับ ยามาดะ นาโอโกะ ที่ทำทั้งสองเรื่องที่ว่ามานั้นมากำกับด้วยตนเอง ทั้งยังได้ โยชิดะ เรโกะ ที่มีผลงานเขียนบทอนิเมชั่นมากมายซึ่งรวมถึง The Cat Returns (2002) มาดัดแปลงบทให้ด้วยแล้ว ยิ่งยืนยันถึงความตั้งใจของผู้มีส่วนร่วมที่อยากปั้นให้เรื่องราวแสนละเมียดละไมของรักไร้เสียงนั้นถูกถ่ายทอดออกมาให้ดีที่สุดของที่สุดเลยทีเดียว
หากพูดในฐานะคนที่เคยอ่านมังงะมา ทั้งวัน-ช็อต และเรื่องยาว ก็ขอบอกว่าหนังเก็บบรรยากาศมาได้อย่างยอดเยี่ยมทีเดียว ทั้งเพลงประกอบ ทั้งลายเส้น ทั้งมุมกล้อง และการตัดต่อเรื่องราวให้อยู่ใน 2 ชั่วโมงนั้น เรียกว่าอิ่มมาก ๆ เป็นข้อได้เปรียบสำคัญเลยที่จะทำให้หลงรักอนิเมชั่นเรื่องนี้ได้สุดลิ่มยิ่งกว่าคนที่ไม่เคยดูเคยอ่านมาก่อนครับ
แต่หากพูดในมุมของคนที่ไม่เคยอ่านมังงะมาก่อนเลย ก็ค่อนข้างปะติดปะต่อเรื่องราวช้ากว่านิดหนึ่งเพราะฉบับหนังโรง เลือกเปลี่ยนวิธีการเล่าเรื่องในช่วงต้นพอประมาณมีการตัดสลับเวลา ทั้งการอธิบายความรู้สึกหรือเหตุผลใด ๆ
ที่เป็นประเด็นดราม่าของตัวละครก็ไม่ได้พูดออกมาชัดนัก หรือถึงพูดออกมาก็ยากจะเข้าใจในทีแรกทันที ตรงนี้อาจทำให้บางคนหลุดไม่อินไปได้เหมือนกัน แต่หนังก็ทดแทนด้วยฉากตลกที่ทำให้หนังไม่น่าเบื่อและน่าติดตามมากขึ้น และน่าจะเข้าใจสาระเรื่องของอุปสรรคการสื่อสารระหว่างคนที่ไม่ใช่เพียงเรื่องของความพิการเท่านั้นที่ขวางกั้นอยู่ได้ไม่ยาก
น่าเสียดายอยู่บ้างที่หนังไม่กระชับสักเท่าไหร่ หลายคนที่หนังเงียบอยู่นาน มีแต่บทสนทนาที่ไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าเพราะตัวละครต้องใช้ภาษามือโต้ตอบกัน ขณะเดียวกัน ระหว่างดูก็ยังรู้สึกว่า ตัวละครค่อนข้างมีความคิดแบบญี่ปุ่นอยู่สูงมาก จนบางครั้งไม่ค่อยจะเข้าใจความคิดของตัวละครเท่าไหร่ ดีที่หนังสร้างอารมณ์ร่วมได้ดีจนสามารถจะซึ้งน้ำตาไหลตามไปได้
ก่อนออกจากโรงได้ยินเสียงปรบมือแสดงถึงความประทับใจของคนดูได้ดีเลยนะครับ
ชื่อภาพยนตร์: A Silent Love / รักไร้เสียง / 聲の形 (Koe no katachi)
ผู้กำกับภาพยนตร์: Naoko Yamada
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Yoshitoki Oima (manga), Reiko Yoshida (screenplay)
นักแสดงนำ: Miyu Irino, Saori Hayami, Aoi Yuki
ดนตรีประกอบ: Kensuke Ushio
แนว/ประเภท: Animation, Drama, Romance
ความยาว: 129 นาที
อัตราส่วนภาพ: 1.85 : 1
เรท: ไทย/ท, USA/
วันเข้าฉายในประเทศไทย: 23 มีนาคม 2560
ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย/สตูดิโอ: Kodansha, Kyoto Animation, Pony Canyon, M Pictures