รีวิว despicable me 3
Despicable me 3 มิสเตอร์แสบ ร้ายเกินพิกัด 3
ถ้าไม่เคยดูภาคอื่นมากก่อน จะรู้เรื่องไหม
รู้เรื่องแน่นอนพันล้านเปอร์เซ็นต์ เพราะว่ามันเป็นหนังที่ไม่ต้องคิดอะไรเวลาดูเลย เพราะว่าเรื่องราวไม่ได้ต่อเนื่องจากภาคก่อนๆ มากนัก เข้าไปดูความน่ารัก ความสดใส แล้วก็เจ้าเด๋อมินเนี่ยน
มินเนี่ยนก็ยังคงเป็น มินเนี่ยน
เหมาะเป็นลูกกระจ๊อกที่สุดในโลกละ ไม่มีอะไรมาแทนที่พวกเธอได้ เป็นกลุ่มตัวละครที่เด๋อมากอ่ะ คือทำทำอะไรก็ดูเด๋อไปหมด ทำหน้าเข้มๆยังเด๋อเล้ยยยย แล้วก็ภาคนี้มีเมล
เป็นหัวโจกของเหล่า มินเนี่ยน เป็นตัวการที่ทำให้ต้องไประหกระเหิน จุดที่ชอบที่สุดคือมีช่วงเวลาที่มินเนี่ยนร้องเพลง ถึงจะฟังไม่รู้เรื่องว่าร้องว่าอะไร แต่อินเนอร์ นี่จัดเต็ม ที่รู้ๆ คือพวกเด๋อไม่ได้ร้องแค่บานาน่าแล้วนะฮะ โปรดักส์ชั่น ตอนร้องเพลงนี่ยิ่งใหญ่จริงๆ ใครที่อยากฟังเจ้าตัวเหลืองร้องเพลงละก็ อย่าได้พลาดเป็นอันขาด
บัลธาซาร์ แบรตต์ (Balthazar Bratt)
เป็นวายร้ายที่ชอบอะไรในยุค 80 แล้วก็รักในเสียงเพลงสุดๆ คือเวลาที่จะไปก่อการร้ายไรงี้นางชอบเปิดเพลงละเต้นจ้าา ซึ่งแน่นอนว่าก็เป็นเพลงยุค 80 สำหรับเรา ‘แบรตต์’
เป็นวายร้ายที่เก่งกาจตัวนึงเลย ที่สำคัญ คือ อาวุธอย่างเจ๋ง คือ คิดไม่ถึงโคตรๆ ว่าจะเอาอุปกรณ์แบบนี้มาเป็นอาวุธได้ อย่าง รูบิค หรือ โยโย่ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าของเล่นจะมาทำเป้นอาวุธได้ยังไง
สาวน้อย 3 คนที่ทำให้แอนิเมชั่นเรื่องนี้สดใสยิ่งขึ้น
เรื่องนี้ถ้าขนาดเด็กน้อย 3 คนนี้ไปคงเหงาแย่ ภาคนี้ก็ยังทำให้เราหลงรักตัวละครได้เหมือนเดิม ถึงแม้ว่าจะมีคาแรคเตอร์ที่ต่างกัน แต่เด็กก็ยังเป็นเด็ก โดยเฉพาะ แอ็คเนส โอ้ยยย หนูลูก น่ารักมาก อยากได้มาเป็นลูก ฮืออออ มีการตามหายูนิคอร์นด้วยนะ แต่จะเจอไหม ก็ไม่รู้สินะ
สรุป Despicable me 3 มิสเตอร์แสบ ร้ายเกินพิกัด 3
เอาไปเลย 9/10 คะแนน
เป็นหนังที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัยมาก สร้างความสนุกและเสียงหัวเราะตลอดทั้งเรื่องจริงๆ
ชอบอุปกรณ์ทุกอย่างในเรื่อง ไอเดียดีมาก สามารถดึงสิ่งของเล็กๆน้อยๆ มาใช้ได้อย่างที่เรานึกไม่ถึง
ดำเนินเรื่องรวดเร็ว ตลอดเวลา 90 นาที คือไม่เบื่อเลย มุกตลกก็ใส่มาได้ตรงจังหวะ แบบขำทุกมุกอ่ะ
ไปดูเถอะค่ะ เป็นหนังที่ไม่มีพิษมีภัยเลย ขำไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกที อ้าวจบแล้ว ดูจนลืมเวลาจริงๆ
ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจของทีมเขียนบทภาพยนตร์ที่นำเหตุการณ์และประสบการณ์ร่วมของปัญหาครอบครัวที่เด็ก ต้องแบกทั้งความคาดหวังของผู้ใหญ่ และ ทักษะในการรับมือกับความล้มเหลว มาดัดแปลง
และตีแผ่จนเกิดข้อคิดดีๆที่เหล่าคุณพ่อคุณแม่นำไปปรับใช้ในการเลี้ยงลูกได้เป็นอย่างดีซึ่งขอแนะนำฉากที่ แอ็กเนส อยากตามหายูนิคอร์น และ กรู พยายามสอนให้เธอรับมือกับความผิดหวังไว้แต่เนิ่นๆ ซึ่งหนังนำเสนอได้อย่างน่ารักและซาบซึ้งเลยทีเดียว
ซึ่งสีสันของเรื่องราวในภาคนี้คงหนีไม่พ้นการอ้างอิงวัฒนธรรมพ็อพ ยุค 80 ที่ขนมาทั้งเพลงอีเล็กโทรนิกส์พ็อพ และรายการบันเทิงต่างๆทั้งซีรีส์แนวสัตว์ประหลาด หนังสยองขวัญแนวหุ่นผีสิง วีดีโอออกกำลังกาย หรือแม้แต่เพชรสีชมพูก็ยังอ้างอิงถึงเพชรใน Pink Panther หนังตลกนักสืบชื่อดังแห่งยุค
รวมถึงการสร้างตัวละครอย่าง บัลธาซาร์ แบรตต์ ทั้งคอสตูมหลงยุคเสื้อผ้าไหล่เสริมฟองน้ำแบบศิลปินยุค 80 พร้อมหนวดเฟิ้ม ยังแสดงให้เห็นถึงการติดอยู่ในยุค 80 ที่ตัวเองเคยมีชื่อเสียงในเชิงสัญญะได้อีกด้วย แต่สิ่งที่ผู้เขียนคิดว่าผู้สร้างน่าจะมีนัยยะแอบแฝงคือการเลือกเพลง Bad ของ ไมเคิล แจ็คสัน มาประกอบในฉากเปิดตัวการปล้นของ บัลธาซาร์ แบรตต์ ตอนต้นเรื่อง
ซึ่งหากมองย้อนไปตอนหนังภาคแรกออกฉายในปี 2013 ขณะนั้นทางสตูดิโอ อนิเมชั่นคู่แข่งอย่าง ดรีมเวิร์คส์ได้สร้างอนิเมชั่น พลอตวายร้ายเป็นตัวนำอย่าง Megaminds ซึ่งในตอนท้ายเรื่องก็มีการใช้เพลง Bad เหมือนกัน แต่ปรากฏว่า Despicable Me กลับประสบความสำเร็จมากกว่า
รีวิว despicable me 3
ดังนั้นการที่หนังภาค 3 เลือกเพลงนี้มาประกอบคล้ายจะเป็นการประกาศความสำเร็จเหนือคู่แข่งอยู่กลายๆ และนอกจากนี้ เรายังจะได้ยินเพลง Take On Me ของวง a-ha กันอีกครั้งต่อจาก Sing Street และ La La Land จนน่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้กลายๆว่าเพลงนี้เหมือนเป็นสัญลักษณ์ของยุค 80 จริงๆ
และที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือเหล่านักพากย์ซึ่ง สตีฟ คาเรลล์ ที่พากย์ทั้ง กรู และ ดรู แบบไม่หลุดคาแรกเตอร์ และ คริสเตน วิกก์ ดาราตลกที่สวยทั้งหน้าและเสียง ก็ยังคงพากย์ได้อย่างมีสีสันเช่นเคย รวมถึงหน้าใหม่แต่เก๋าประสบการณ์อย่าง เทรย์ ปาร์คเกอร์ ที่เคยพากย์อนิเมชั่นห่ามๆอย่าง South Park
และ Team America : World Police มาให้เสียงตัวร้ายอย่าง บัลธาซาร์ แบรตต์ ได้อย่างมีเสน่ห์ (ตัวละครยืมนามสกุลมาจากเบนจามิน แบรตต์ ผู้ให้เสียง เอลมาโช่ ตัวร้ายในภาค 2) ส่วน แอ็กเนส ในภาคนี้เปลี่ยนคนพากย์จาก เอลซี ฟิชเชอร์ มาเป็น เนฟ สกาเรล ที่ให้เสียงได้อย่างน่ารักน่าหยิกแถมได้โชว์แง่มุมตัวละครที่หลากหลายมากขึ้นอีกด้วย
ความรู้สึกหลังดู
แล้วถ้าจะไม่กล่าวถึงเหล่า มินเนี่ยน ตัวเหลืองขวัญใจมหาชนที่แม้จะพูดไม่รู้เรื่องแต่ด้วยการออกแบบคาแรคเตอร์และท่าทางตลกป่วนบวกมุกตลบเจ็บตัวแนว Slapstick Comedy หรือ ตลกตบโต๊ะ ที่กลับมาเรียกเสียงฮาได้ครืนใหญ่แม้จะถูกลดทอนบทบาทให้เป็นตัวประกอบแต่มุกคมคายทุกดอก
แถมคราวนี้ยังจะได้ยึดครองพื้นที่หัวใจมากขึ้นด้วยการให้โชว์ความสามารถในการคอรัสที่เชื่อว่าเป็นไม้ตายของมินเนี่ยนภาคนี้เลยทีเดียว โดยขอแนะนำว่าอย่าพลาดชมฉากการร้องประกวดในรายการ Sing โดยเด็ดขาด ซึ่งเหล่ามินเนี่ยนเล่นใหญ่และฮาแตกจริงๆ (โดยฉากนี้เป็นการอ้างอิงถึง Sing อนิเมชั่นของทางสตูดิโอ อิลลูมิเนชั่น ก่อนหน้านี้)
เป็นคำสาปทั่วไปกับภาพยนตร์เรื่องที่สามในไตรภาคส่วนใหญ่ (สมมติว่าเราไม่นับลูกน้อง) ภาพยนตร์เรื่องที่สามมักจะเป็นที่ที่มันเริ่มเสื่อม เช่นกรณีของ Despicable Me 3 ภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในระดับปานกลาง แค่นั้นแหละ. ไม่ได้ยอดเยี่ยม ไม่ได้แย่ แค่ปานกลาง เรื่องราวคือ Balthazar Bratt (Trey Parker) อดีตนักแสดงเด็กยุค 80 ที่กลายเป็นวายร้ายตัวยงได้หลบเลี่ยงการจับกุมจาก Gru (Steve Carell)
และ Lucy Wilde (Kristen Wiig) เป็นเวลานานเกินไปและหัวหน้าคนใหม่ของ Anti Villain League ไม่ใช่ มีความสุขกับมันและยิงพวกเขา กรูกระตือรือร้นที่จะได้งานคืนกลับได้รับข่าวว่าเขามีพี่ชายฝาแฝดที่หายไปนานชื่อดรู (คาเรลด้วย) ซึ่งเชิญเขามาที่บ้านของเขาในประเทศที่รู้จักกันในชื่อฟรีโดเนีย (ประเทศเดียวกับที่เกราโชมาร์กซ์วิ่งในซุปเป็ด)
ดรูพยายามทำให้กรูกลับกลายเป็นวายร้าย กรูสามารถต้านทานแรงกระตุ้นได้ตลอด 5 นาที แผนแม่บทคือตอนนี้ขโมยเพชรจาก Bratt และหวังว่าจะได้เข้าร่วม Anti Villain League ระหว่างทางเรามีแผนการย่อยมากมายเกี่ยวกับลูซี่ที่พยายามจะเป็นแม่ที่ดี เหล่ามินเนี่ยนเบื่อหน่ายกับการไม่มีอาชญากรรม
และต้องเข้าคุก (ไม่เคยระบุด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้น) แอกเนส (เนฟ ชาร์เรล) ต้องการหายูนิคอร์นหลังจากได้ยิน ตำนาน Bratt ต้องการทำลายฮอลลีวูดเพื่อแก้แค้นที่ปฏิเสธเขาในฐานะวัยรุ่นและความสัมพันธ์ระหว่าง Gru และ Dru พูดตามตรง ฉันคิดว่ามีแผนการมากกว่า The Dark Knight Rises นี่เป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดจริงๆ
ภาพยนตร์ Despicable Me ไม่ต้องการพล็อตเรื่องมากมายขนาดนี้ ส่วนใหญ่หนังจะแค่ข้ามไปที่แต่ละเรื่องและดูเหมือนว่าไม่มีโฟกัส เด็ก ๆ คงจะสบายดีกับมันและมันสนุกพอ แต่ฉันคิดว่ามันไม่ดีเท่ากับอีกสามคน
Despicable Me 3 เป็นอันดับที่ 2 ส่วนตัวของฉันในซีรีส์นี้ มีบางส่วนของสิ่งที่ทำให้ภาคแรกน่าทึ่งมาก และแต่ละส่วนก็ถ่ายทำในภาคต่อ และฉันคิดว่า Despicable Me 3 ทำหน้าที่ในส่วนนั้นได้ดีกว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้มีจุดอ่อนสำคัญเพียงสองข้อที่มองข้ามได้ง่าย เนื่องจากมีหลายโครงเรื่องมากเกินไป และต้องอาศัยอารมณ์ขันของเด็กและเยาวชนและอารมณ์ขันในห้องน้ำมากกว่าสองเรื่องที่ผ่านมา ได้