รีวิว Elfen Lied สาวกลายพันธุ์
ประเดิมตอนแรกไม่กี่นาทีได้รุนแรงเหลือคณา แขนขาด ขาขาด คอขาด กระจุยกระจายฉีกเลือดฉีกเนื้อไม่เกรงใจถึงความอยากดูตอนต่อไป ซึ่งตอนต่อๆไปจะรุนแรงมากกว่านี้ โดยเฉพาะการฆ่าตัวละครที่เราเริ่มผูกพัน บางครั้งยังไม่ทันตีสนิทก็ตายทันที จะปริปากพูดไม่ทันจบคำก็ตายอีก คำว่าเยื่อใยหรือรออีกหน่อยแทบไม่มีเหลือ
ด้วยความที่ทำอะไรหลายอย่างไม่เกรงใจ จึงเป็นข้อดีที่เดินเรื่องไวไม่ยืดเยื้ออารัมภบทซ้ำไปซ้ำมา พยายามผูกปมและคลี่คลายประเด็นทุกตอนทีละเล็กละน้อย ซึ่งแต่ละตอนค่อนข้างสะเทือนอารมณ์หนักใจเป็นส่วนใหญ่ จะมานั่งยิ้มซาบซึ้งไปกับเรื่องดีๆก็นับว่าน้อยถึงน้อยมาก โดยเฉพาะตอนท้ายๆที่เริ่มเปิดเผยเรื่องในอดีตว่าใครคือใครเป็นมายังไง แม้จะรู้ว่าลงเอยแบบนี้ แต่ก็แหม่… ถ้าดูแล้วไม่รู้สึกหดหู่บ้างก็ยอมรับว่าใจแข็งพอสมควร
การเชื่อมโยงลำดับเหตุการณ์ทำได้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน มีเหตุผลรองรับเอาไว้ชัดเจน ทำให้ตัวละครมีที่มาที่ไป ไม่ใช่เอาแต่ใจไร้เหตุผล ทุกคนล้วนเกิดมามีปมที่เจ็บปวดและพยายามปิดกั้นตรงนี้เอาไว้ ส่วนจะมากจะน้อยก็แล้วแต่คนๆไป แต่จุดเด่นอยู่ที่การแสดงตัวตนของมนุษย์ที่ป่าเถื่อน มีด้านมืดทำร้ายและทำลายในตัว เมื่อเทียบกันแล้วมนุษย์ไม่ต่างกับปีศาจนั้นเอง
ใจความของอนิเมะเรื่องนี้ต้องการเปรียบเทียบระหว่างมนุษย์กับปีศาจว่าอันไหนน่ากลัวกว่ากัน โดยสมมติว่าปีศาจคือ ไดโคลเนียส (Diclonius) มนุษย์กลายพันธุ์ที่มีเขาคล้ายหูแมวยืนออกมาจากหัว มีแขนที่เรียกว่า เวกเตอร์ (Vectors) ซึ่งไม่มีใครมองเห็นได้
ยกเว้นพวกเดียวกันเอง แน่นอนว่าความแปลกนี้ทำให้ถูกมองเป็นตัวประหลาด ถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจจนมองทุกคนคือศัตรูต้องกำจัด จึงเป็นที่มาของการฆ่าเพราะความเกลียดแค้นที่ตัวเองได้รับ
ความดราม่าจากการเชื่อมโยงผูกเรื่องราวช่วยยกระดับอารมณ์พอสมควร ถ้าเดินเรื่องเป็นเส้นตรงอธิบายไว้หมดคงไม่น่าสะเทือนใจได้ขนาดนี้ ทุกอย่างลงตัวเกือบหมดจนความสยองในตอนแรกกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย เพราะทั้งหมดอยู่ที่เนื้อเรื่อง
เป็นไปได้อยากให้ยาวอีกหน่อย บางอย่างกระชับรวดเร็วเกินไปเหมือนตัดสินใจอย่างไม่มีเหตุผล โดยเฉพาะการเจอผู้หญิงแปลกหน้าพูดภาษาได้คำเดียวและทำอะไรไม่เป็นเลยแล้วพากลับบ้าน เป็นคนแปลกหน้าแท้ๆ แต่พาเข้าบ้านและดูแลอย่างดีทั้งที่ไม่รู้ปูมหลังอะไรเลย คงมีแต่พระเอกเรื่องนี้แหละที่ใจกว้างและใจดีมากเสียเหลือเกิน
ฉันได้ยินชื่อ Elfen Lied เป็นครั้งแรกจากเสียงลือเสียงเล่าอ้างของบรรดาสมาชิกห้องการ์ตูน เฉลิมไทย พันทิปดอทคอม ในฐานะการ์ตูนและอนิเมชั่นที่ดีที่สุดในรอบปี
ถัดจากนั้นมาไม่นานนัก ฉันกลับได้ยินชื่อของ Elfen Lied อีกครั้งจากรายงานข่าวการตรวจค้นร้านการ์ตูนและเมดคาเฟ่ชื่อดังย่านสยามสแควร์ ในฐานะสื่อลามกที่สมควรจะถูกกวาดล้างให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทย
ความขัดแย้งของข่าวสองกระแส ทำให้ฉันสงสัยว่า เป็นไปได้หรือที่การ์ตูนเรื่องหนึ่ง จะเป็นทั้งการ์ตูนที่ดีที่สุด และสื่อลามกได้ในเวลาเดียวกัน ฉันจึงไปหามาอ่านดูบ้าง หลังจากพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้ว ฉันก็ได้ข้อสรุปว่า สำหรับฉัน Elfen Lied คือการ์ตูนเรื่องเยี่ยมเรื่องหนึ่งที่ฉันจะไม่มีวันลืมความประทับใจที่ได้รับจากมัน
Elfen Lied (อ่านว่า เอลเฟ่น ลีด) มาจากภาษาเยอรมัน แปลว่า บทเพลงแห่งเทพยดา เป็นเรื่องราวของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่เรียกว่า ไดครอเนียส ซึ่งแปลว่ามนุษย์สองเขา เนื่องจากเด็ก ๆ เหล่านี้มีบางส่วนของกระโหลกศีรษะงอกยาวคล้ายเขา (หรืออันที่จริง มันมองดูคล้าย ‘หูแมว’ มากกว่า) ติดตัวมาตั้งแต่เกิด นอกจากเขาแล้ว ไดครอเนียสทุกคนยังมีต่อมไพเนียลที่ใหญ่กว่ามนุษย์ปกติ และมี ‘เวคเตอร์’ หรือแขนล่องหน ซึ่งจะมีจำนวน และความยาวที่แตกต่างกันไปในไดครอเนียสแต่ละคน พละกำลังของเวคเตอร์มากมายมหาศาล ชนิดที่ว่าสามารถทำลายสิ่งของหรือฆ่าคนได้อย่างง่ายดายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
เมื่ออายุได้ราวสี่ขวบ ไดครอเนียสจะเริ่มรู้สึกถึงเวคเตอร์ที่แอบแฝงอยู่ในร่างกายของตนเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นเด็กเหล่านี้ก็จะเริ่มฆ่าคน โดยส่วนใหญ่เหยื่อรายแรก ๆ ก็มักจะเป็นพ่อแม่ของตัวเองนั่นเอง
ความแข็งแกร่งและจำนวนโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นเพราะไดครอเนียส ทำให้มนุษย์เกิดความกังวลว่า ไดครอเนียสอาจจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่กำเนิดขึ้นมาเพื่อทำลายล้าง และแย่งสถานะความเป็นสิ่งมีชีวิตอันดับสูงสุดของโลกไปจากมนุษย์ มนุษย์กลุ่มหนึ่งจึงจัดตั้งสถาบันวิจัยลับเพื่อเก็บรวบรวมและศึกษาไดครอเนียสขึ้นมา ทันทีที่มีเด็กมีเขากำเนิดมาบนโลก หากไม่ถูกกำจัดทันที ก็จะต้องถูกพรากจากพ่อแม่ นำตัวมากักขังไว้ในสถาบันวิจัยแห่งนี้ในฐานะวัตถุดิบในการทดลอง เมื่อพบว่าพลังและความยาวของเวคเตอร์ขึ้นอยู่กับช่วงอายุ จึงมีการตั้งกฏว่า ไดครอเนียสทุกคนจะต้องถูกกำจัดก่อนที่จะอายุครบสิบสี่ปี
รีวิว Elfen Lied สาวกลายพันธุ์
เรื่องราวบทแรกของ Elfen Lied เริ่มต้นขึ้น เมื่อ ‘ลูซี่’ ไดครอเนียสคนแรกของโลกหลบหนีออกจากสถาบันวิจัย เธอถูกยิงที่ศีรษะในขณะที่กำลังจะหนีรอดไปได้ โชคดีที่สวมหมวกเหล็กเอาไว้ ทำให้ไม่ถึงตาย เธอตกลงไปในทะเล และถูกโคตะกับยูกะ พระเอกและนางเอกของเรื่องเก็บได้ ในสภาพที่สูญเสียความทรงจำ
เพียงแค่ฉากแรก ฉันก็เข้าใจทันทีว่าทำไมการ์ตูนเรื่องนี้ถึงถูกแบน เพราะการต่อสู้เพื่ออิสรภาพระหว่างลูซี่กับหน่วยรักษาความปลอดภัยของสถาบันวิจัยเป็นฉากที่รุนแรงมาก เรียกได้ว่าเลือดท่วมหน้ากระดาษ ติดเรท NC-17 อย่างแน่นอน ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ฉากสุดท้าย เพราะยังมีการต่อสู้อีกหลายครั้ง ไม่ว่าจะระหว่างไดครอเนียสกับมนุษย์ หรือไดครอเนียสด้วยกันเอง
ส่วนที่มาของคำว่า ‘สื่อลามก’ ก็คงจะมาจากสภาพเปลือยของลูซี่ตอนที่หนีออกจากแทงค์ที่คุมขังเธออยู่นั่นเอง
หากมองอย่างผิวเผิน Elfen Lied อาจเต็มไปด้วยความรุนแรง แต่เมื่ออ่านต่อไปเรื่อย ๆ แล้ว ฉันก็พบว่า ความรุนแรงที่ Elfen Lied ต้องการนำเสนอ ไม่ใช่ฉากการต่อสู้เลือดท่วมเหล่านั้น แต่เป็นความรุนแรงที่แฝงอยู่ในจิตใจของมนุษย์เรานี่เองต่างหาก
ด้วยความที่กลัวว่าไดครอเนียสจะเข้ามาแทนที่ตำแหน่งที่เคยเป็นของตนเอง มนุษย์จึงกระทำต่อไดครอเนียสเหล่านั้นอย่างโหดร้าย เพียงเพราะเกิดมามีเขา ไดครอเนียสทุกคนจึงถูกชี้หน้าว่าเกิดมาเพื่อเป็นฆาตกร ต้องถูกจับแยกจากมนุษย์และสังคม
มาเลี้ยงดูในฐานะสัตว์ทดลองในสถาบันวิจัย ไม่มีใครให้ความรักความอบอุ่น ไม่มีแม้แต่ชื่อเรียก มีเพียงหมายเลขประจำตัว บางคนถูกทดลองด้วยวิธีการอันโหดร้าย บางคนถูกกักขังให้อยู่ตามลำพังในแคปซูล โดยที่ลืมคิดไปว่าแท้จริงแล้ว
ไดครอเนียสเหล่านั้นก็เป็นเพียงลูกมนุษย์ที่บังเอิญกลายพันธุ์ โดยไม่ใช่ความผิดของตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว
ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง คุณคิดว่ามนุษย์จะใช้วิธีเดียวกันนี้เพื่อแก้ไขปัญหาหรือเปล่าคะ? ฉันคิดค่ะ
ความรู้สึกหลังดู
จากตอนต้นเรื่องที่วางคนอ่านไว้ในฐานะมนุษย์ Elfen Lied จะค่อย ๆ นำเราไปรู้จักกับไดครอเนียสแต่ละคน ให้เราได้รับรู้ว่า แท้จริงแล้ว ไดครอเนียสไม่ได้เกิดมาเพื่อทำลายล้างมนุษย์ พวกเธอเพียงแต่พลั้งมือด้วยบาปบริสุทธิ์ เหมือนเด็กที่เด็ดปีกผีเสื้อด้วยความไร้เดียงสา
พวกเธอไม่รู้ตัวว่าพลังของตัวเองเป็นอันตราย และยิ่งไม่เข้าใจว่า อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ตัวเองต้องถูกกักขังและทนทุกข์ทรมานอย่างที่เป็นอยู่ ในแคปซูลที่มืดมิด ไม่มีใครได้ยินเสียงร้องไห้ของพวกเธอ ไม่มีใครโอบกอดปลอบโยน ไม่มีใครได้รับรู้ถึงความฝันที่พวกเธอพยายามหลอนตัวเอง ว่าสักวันพ่อแม่ที่ไม่เคยเห็นหน้าจะมารับกลับไปอยู่ด้วย
เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงบทสุดท้าย ฉันกลายเป็นพวกเดียวกับไดครอเนียส ฉันร้องไห้ให้กับชะตากรรมของพวกเธอ ที่ต้องตายไปโดยไม่ได้รับรู้ถึงความอบอุ่นจากอ้อมกอดของพ่อแม่ ตายไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่เคยได้เห็นความสวยงามของโลก รสชาติของขนมหวาน กลิ่นหอมของดอกไม้ ไม่รู้จักแม้เสียงหัวเราะ หรือสิ่งที่เรียกว่าความสุข
ทุกอย่างเป็นเพราะความหวาดกลัว ความแบ่งแยก ความเห็นแก่ตัว และอัตตาที่ยอมให้มีสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าตัวเองอยู่ไม่ได้ของมนุษย์นั่นเอง
หากจะถามว่า ตกลงแล้วการ์ตูนเรื่องนี้เป็นอะไรกันแน่ ระหว่างการ์ตูนที่ดีที่สุด กับการ์ตูนที่สมควรจะถูกแบน ฉันคงไม่สามารถฟันธงลงไปว่ามันเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ฉันยอมรับว่า Elfen Lied เป็นการ์ตูนที่ไม่เหมาะสมสำหรับเด็ก
เนื่องจากเด็กในบางช่วงวัยอาจยังมีประสบการณ์ไม่เพียงพอที่จะนำสารที่ได้รับไปประมวลผลจนเข้าใจในสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ และทำให้ ‘ความรุนแรงเชิงรูปธรรมเพื่อการต่อต้านความรุนแรงเชิงนามธรรม’ ลดรูปเหลือแค่ ‘ความรุนแรง’ เฉย ๆ ไป
แต่มันเป็นการ์ตูนที่ดีมากสำหรับผู้อ่านที่เป็นผู้ใหญ่ และ ‘การ์ตูน’ ก็เป็นเพียงสื่อรูปแบบหนึ่ง ที่ไม่ได้มีไว้สำหรับเด็กเท่านั้นไม่ใช่หรือ?
น่าเสียดายที่ Elfen Lied ได้รับการจัดพิมพ์ออกมาเป็นภาษาไทยเพียงแค่ 9 เล่มแล้วก็ต้องหยุดไป (ได้ยินว่ามีการเก็บหนังสือที่วางจำหน่ายแล้วกลับไปทำลายทิ้งด้วย) ทำให้ฉันไม่รู้ว่าตอนจบของหนังสือการ์ตูนเป็นอย่างไร ต้องไปโหลดอนิเมชั่นมาดูแทน
ซึ่งอนิเมชั่นในช่วงท้ายก็ทำขึ้นก่อนที่หนังสือจะออก ดังนั้นบทสรุปของมันจึงไม่เหมือนกัน ซึ่งฉันคิดว่าการ์ตูนปูเรื่องและนำเสนอได้อย่างลึกซึ้ง มีแง่มุมที่น่าสนใจมากกว่า น่าเสียดายที่ฉันคงจะไม่มีโอกาสได้รู้ไปตลอดกาลว่า ชะตากรรมของเหล่าเทพยดาที่ถูกเรียกว่าไดครอเนียสในต้นฉบับของจริงจบลงอย่างไร
การ์ตูนเรื่อง Elfen Lied กับไดครอเนียสในเรื่องมีชะตากรรมเหมือนกันอย่างน่าขัน นั่นคือถูกกำจัดเพราะมนุษย์ที่ไม่พยายามทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ตัดสินว่าเป็นตัวอันตราย ฉันสงสัยว่า ถ้าคนเหล่านั้นได้ลองอ่าน Elfen Lied อย่างจริงจัง เขาจะรู้สึกตัวไหมว่า
การ์ตูนเรื่องนี้ไม่ใช่การ์ตูนโป๊หรือมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมความรุนแรง แต่มันถูกเขียนขึ้นมาเพื่อต่อต้านการแก้ปัญหาด้วยการ ‘กำจัดทิ้ง’ อย่างที่ตัวเขากำลังทำอยู่นั่นเอง.
เมื่อElfen Liedถูกดัดแปลงเป็นซีรีส์อนิเมะผู้กำกับมาโมรุคันเบได้รับการแนะนำให้ทำงานในซีรีส์นี้โดยผู้แต่งซีรีส์ Takao Yoshioka โยชิโอกะเชื่อว่ารูปแบบและองค์ประกอบการวาดทั่วไปของคันเบน่าจะเหมาะอย่างยิ่งที่จะดัดแปลงมังงะซึ่งยังคงตีพิมพ์เป็นอนิเมะซีรีส์ในเวลานั้น คันเบเอง แต่เดิมไม่เต็มใจที่จะเข้าร่วมการผลิตและได้รับความสนใจจากการอ่านมังงะเรื่องนี้
ในขณะที่มังงะยังคงดำเนินอยู่ในขณะนั้น Kanbe และทีมผู้ผลิตถูกบังคับให้ย่อเนื้อเรื่องของซีรีส์ออกเป็นสิบสามตอนแม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกว่าจำเป็นต้องสร้างรายละเอียดพล็อตที่สำคัญหลาย ๆ อย่างในมังงะซึ่ง Kanbe รู้สึกว่าเขา สามารถใช้เพื่อทำให้ซีรีส์มีอารมณ์ดีขึ้นได้
ตามที่คันเบเขามองว่าElfen Liedเป็น “เรื่องราวความรัก” และเขาต้องการ “ทำให้ผู้ชมต้องเสียน้ำตา” ดังนั้นเขาจึงพยายามตลอดทั้งซีรีส์เพื่อให้อารมณ์ที่แตกต่างแสดงความคิดเห็นว่าเขาสามารถทำให้ความรุนแรงเป็นตัวอย่างได้ตลอดทั้งซีรีส์ ทีมผู้ผลิตรู้สึกประหลาดใจกับการที่ Okamoto เลือก Kamakura
มาเป็นฉากในซีรีส์นี้ อย่างไรก็ตามหลังจากการเยี่ยมชมพื้นที่หลายครั้งคันเบให้ความเห็นว่าฉากในคามาคุระเป็นไปตามที่ทีมผู้ผลิตได้กล่าวไว้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับละครที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวและสะท้อนแสงในซีรีส์ที่จะตีแผ่ในขณะที่ความเงียบสงบทั่วไปและสภาพทางภูมิศาสตร์ที่สร้างขึ้นเพื่อให้เกิดการไตร่ตรองและยังน่าขนลุก
ฉากหลังที่มีความหมายลึกซึ้งของซีรีส์ สิ่งนี้สามารถเห็นได้ในหลายตัวอย่างเช่นบนชุดขั้นตอนที่มองเห็นแนวชายฝั่งซึ่งมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวละครมากมาย สิ่งนี้ถูกใช้เป็นอุปกรณ์สำคัญในการถ่ายทอดความคิดเกี่ยวกับความทรงจำและการเชื่อมโยงทางอารมณ์เช่นความแตกต่างระหว่างบทสนทนาของ Kohta และ Lucy เมื่อพวกเขาอายุสิบขวบเมื่อเทียบกับบทสนทนาในตอนสุดท้าย