รีวิว Hello World (2019)
โลกอันโดดเดี่ยวของ นาโอมิ กำลังเปลี่ยนไปเมื่อได้พบกับตัวเขาเองที่เดินทางมาจากอนาคต เพื่อหวังให้เขาเปลี่ยนเหตุการณ์อดีตเพื่อช่วยเหลือ อิจิเคียว สาวห้าวคนรักของเขาจากอุบัติเหตุ พร้อมความจริงชวนช็อdว่าโลกที่เขาอยู่เป็นเพียงข้อมูลในอดีตที่ อัลทาลา ระบบปฏิบัติการณ์ผังเมืองเก็บไว้เท่านั้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงข้อมูลจะถูกขัดขวางจากตัวดักจับข้อมูลที่มุ่งลบข้อมูลแปลกปลอมให้หายไปตลอดกาล งานนี้ นาโอมิ จำต้องแข่งกับเวลาเพื่อช่วยเหลือคนรักให้ได้ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป
Hello World พาคุณสู่เกียวโตในปี 2027 ซึ่งจะทำให้เห็นโลกในอนาคตอันใกล้ที่เต็มไปด้วยความเป็นดิจิตอล, ข้อมูลและการจัดเก็บซึ่งกลมกลืนไปกับชีวิตประจำวันจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน ผ่านมุมมองของเด็กหนุ่มคาตานากิ นาโอมิ ผู้ซึ่งขาดความมั่นใจในตัวเองขั้นรุนแรง โดยวันหนึ่งเขาก็ได้เจอกับชายหนุ่มซึ่งอ้างตัวว่าเป็นตัวเขาเองในเองในอีก 10 ปีข้างหน้าที่ข้ามเวลามาเพื่อช่วยให้เขาได้คบกับ อิจิเกียว รุริ ภายใน 3 เดือนนับจากนี้ ก่อนที่ รุริ จะประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตจากการเดทครั้งแรก และการช่วยชีวิตรุริเพื่อบิดประวัติศาสตร์คือเป้าประสงค์ของภารกิจนี้นั่นเอง
ดังนั้นไม่แปลกเลยถ้าช่วงองค์แรกจะเน้นเรื่องความรักเป็นรอมคอมใสๆ ดูไร้พิษภัย ก่อนจะไล่ระดับถึงความคุกคามจากบางอย่างขึ้นเรื่อย กระทั่งเข้าสู่องค์ที่ 2 เมื่อปมส่วนหนึ่งถูกเฉลย ความไซไฟและทฤษฎีเชิงควอนตั้มฟิสิกส์จะเริ่มประดังประเดเข้ามา อย่างไรก็ดีมันไม่ได้มากเกินไปนักและประเด็นเรื่องความรักก็ยังคงแข็งแกร่ง กระทั่งเนื้อเรื่องทะยานสู่องค์สามซึ่งต้องใช้การตีความมากที่สุดแต่ก็ทำให้เรื่องนี้จบลงด้วยความว้าวสุดๆ ด้วยเช่นกัน
ยอมรับว่าเข้าไปดู Hello World แบบแทบไม่มีข้อมูลอะไรเลย แม้แต่เรื่องย่อก็ไม่ได้อ่านเข้าไป เดชะบุญ..ที่บทหนังสามารถลำดับเรื่องราวให้เราเข้าใจโลกในหนังได้อย่างไม่ยากเย็นเกินไปนัก และพอรู้ว่าหนังเป็นงานออริจินัลอนิเมะเรื่องแรกของ โทโมฮิโกะ อิโต ผู้กำกับ Sword Art Online
ก็ถึงบางอ้อว่าทำไมหนังถึงมีความเป็นไซไฟสูงขนาดนี้ โดยคอนเซ็ปต์ อัลทาลา แล้วก็ไม่ได้หนีจาก The Matrix ที่คอหนังไซไฟปรัชญารู้จักนัก โดยนำเสนอว่าโลกที่ตัวละครอาศัยอยู่เป็นเพียงข้อมูลในอดีตที่เซิร์ฟเวอร์เก็บไว้ แต่ Hello World ยืนพื้นตัวเองที่แนวโรแมนติกผสมไซไฟและแฟนตาซีแบบอนิเมะญี่ปุ่น
เลยกลายเป็นว่าเควส9Nหลักของนาโอมิ ก็เลยมีแต่ต้องช่วย อิจิเคียว ให้รอดพ้นจากความตายให้ได้ ซึ่งก็ถือว่ามาสานต่อเอาใจคออนิเมะที่เพิ่งอินกับ Weathering with you ของ มาโกโตะ ชินไค ให้ได้ฟินอย่างต่อเนื่อง
โดยฮีโรของเรื่องอย่าง นาโอมิ ถูกนำเสนอแบบหนังก้าวข้ามวัย หรือ Coming of Age โดยมีตัวเขาเองในอนาคตมาไกด์วิธีพิชิตใจสาวให้เพื่อทลายกำแพงที่เขาไม่อาจสื่อสารกับคนอื่นได้ตามข้อมูลที่หนังให้มาตอนเปิดเรื่อง แต่พอเรื่องดำเนินไป..ก็เหมือนผู้สร้างจะเริ่มกลัวว่าอนิเมะจะไม่เร้าใจพอ
เลยเริ่มใส่แฟนตาซี มีไอเทมพิเศษเป็นถุงมือที่สามารถเนรมิตรของได้ตามใจนึก ซึ่งแรก ๆ ก็ดูทำให้ซับซ้อนว่าเสกอันนี้มาคือ เบ ๆ อันนี้คือ แอดวานซ์ มาหน่อย แต่พอหนังดำเนินไปและตัวเอกต้องรีบพิชิตใจ อิจิเคียว ให้ได้เพื่อให้ชะตากรรมเป็นไปตามที่ถูกบันทึกไว้
เราก็จะเห็นพระเอกเริ่มเสกนู่นเสกนี่แบบแทบไม่มีข้อจำกัดอะไรเลยล่ะ 555. แต่ที่เล่ามาต้องบอกไว้ก่อนว่าเป็นเนื้อเรื่องในส่วนครึ่งเรื่องแรกเท่านั้น เพราะพอกลางเรื่องหนังก็พลิกหักมุมไปอีกทาง นับว่าเป็นอนิเมะที่ทำให้เราลุ้นได้ตลอดและมีความคิดสร้างสรรค์ดีมากเลย
รีวิว Hello World (2019)
ในส่วนของงานภาพ หายห่วงได้เลย เพราะ Hello World รังสรรค์ภาพผสมผสานระหว่างอนิเมะวาดมือกับเทคนิกคอมพิวเตอร์กราฟิกได้ลงตัวทีเดียว ตัวละครอย่าง นาโอมิ ใน 2 บุคลิก ก็มีทั้งแบบเท่ และแบบคิวต์ ให้สาว ๆ ได้ฟินกัน หรือจะเป็นบรรดาคาแรกเตอร์สาว ๆ
ก็น่าจะทำให้ หนุ่ม ๆ เพ้อตามได้ไม่ยากเลยล่ะ ยิ่งได้ ทาคุมิ คิตามูระ และ มินามิ ฮามาเบะ พระเอกนางเอก I want to eat your pancreas หรือตับอ่อนเธอนั้นขอฉันเถอะนะมาให้เสียงพากย์ก็ยิ่งเพิ่มดีกรีความหวานให้หนังเข้าไปใหญ่
กระนั้นแม้ไม่ใช่คออนิเมะแบบฮาร์ดคอร์ เราก็พอสังเกตได้เลยว่า Hello World ดูจะได้อิทธิพลจากงานของ มาโกโตะ ชินไค มาเยอะเลยทีเดียว ทั้งแนวอนิเมะโรแมนติกที่เล่นกับปรัชญาไซไฟเรื่องเวลา และจิตวิญญาณ รวมถึงแนวคิดแบบเซนที่ไหลพล่านในทุกอณูของหนัง
แต่สิ่งที่ Hello World ยังห่างชั้นจากงานของ ชินไค เยอะมาก คือการให้เวลาตัวละครได้มีโมเมนต์โรแมนติก ควบคู่กับการให้ภาพเมืองญี่ปุ่นที่นำเสนอได้โรแมนติกเกินจริง ซึ่ง Hello World ดันไปใส่ฉากแอ็กชันไซไฟเสียเยอะ เลยทำให้พาร์ตโรแมนติกไม่ทำงานเท่าที่ควร แม้จะมีเพลงประกอบหนังเพราะ ๆ คลอไปแทบทุกฉากโรแมนติกแล้วก็ตาม
เป็นภาพยนตร์อนิเมะสุด Underrated ที่ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจเท่าไหร่
เล่าถึง นาโอมิ เด็กหนุ่มที่อยู่ๆก็เจอกับ “ตัวเอง” ในอนาคตที่ย้อนอดีตมาเพื่อช่วยให้นาโอมิจีบเด็กสาวอย่าง อิจิเกียว รูริ ให้สำเร็จ โดยที่นาโอมิจากอนาคตได้บอกความจริงว่า แท้จริงแล้ว โลกที่นาโอมิกำลังอยู่นั้นเป็นเพียงข้อมูลในอดีตของโลกเสมือนที่เก็บข้อมูลไว้เท่านั้น !!
ต้องบอกเลยว่า Plot ของเรื่องนี้มันยอดเยี่ยมมากๆ นี่มัน Inception ของจักรวาลอนิเมะเลย ไอเดียของเรื่องมันดีมากจริงๆนะ ดูจบนี่แทบจะปรบมือให้ ฉากจบแค่ไม่กี่วิ ทำให้เราต้องกลับมาย้อนคิดถึงเรื่องทั้งหมดที่ดูมาอีกรอบ มันได้อารมณ์เหมือนฉากจบของ Inception เลย
ในด้านการดำเนินเรื่องนั้น เรียกได้ว่าแบ่งออกเป็นครึ่งแรก และ ครึ่งหลัง ได้อย่างชัดเจน พอเข้าครึ่งหลังปุ๊ป อามรณ์เปลี่ยนเป็นคนละฟีลเลย ส่วนตัวชอบครึ่งแรกมากกว่า การกำกับในช่วงแรกมันดีมากจริงๆ แต่ครึ่งหลังนั้นก็ยอดเยี่ยมในด้านของไอเดีย ประกอบกับฉากจบ ทำให้ผมยอมเรื่องนี้เลย (ผกก. Sword art Online)
ความรู้สึกหลังดู
ในด้านของคาแรคเตอร์ดีไซน์ พูดตรงๆว่าดีไซน์ออกมาได้ดีมาก ลายเส้นของตัวละครได้คุณ Horiguchi Yukiko
เจ้าของลายเส้นของอนิเมะอย่าง K-On! , Tamako Market มาดีไซน์ให้ ทำให้ตัวนางเอกอย่าง อิจิเกียว รูริ น่ารักสุดๆ
อีกทั้งยังได้นักแสดงชื่อดังอย่าง Hamabe Minami และ Kitamura Takumi (คู่พระ-นางจาก ตับอ่อนเธอนั้นขอฉันเถอะนะ)
มาพากย์เสียงเป็น รูริ กับ นาโอมิ ซึ่งแม้จะไม่ใช่นักพากย์มืออาชีพ แต่ก็ทำออกมาได้ดีมากๆ
จุดเด่น
เนื้อหาโรแมนติกบวกไซไฟล้ำ ๆ ทำให้ติดตามได้ตลอด เพลงประกอบภาพยนตร์ไพเราะ ให้อารมณ์คล้ายอนิเมะของ มาโกโตะ ชินไค อยู่
จุดสังเกต
ความลงตัวระหว่างไซไฟ และ โรแมนติกยังไม่ดีเท่าของ มาโกโตะ ชินไค
ในด้านเพลงประกอบนั้น ได้วง J-POP สุดดังอย่าง Official髭男dism มาร้องเพลงประกอบอย่าง Yesterday ให้
ซึ่งเพราะมากๆ นอกจากนั้นถ้าคุณลองตีความหมายของเพลงดูจะพบว่า ความหมายดีและเข้ากับเรื่องสุดๆด้วย แล้วในตอนนี้
ยอดวิวของเพลงนี้ก็ทะลุ 100 ล้านวิวไปแล้วด้วย แนะนำให้ไปลองฟังดู
สรุปแล้ว Hello World ยอดเยี่ยมทั้งในด้านไอเดีย, การกำกับ, คาแรคเตอร์ดีไซน์, เพลง, ฉากจบ และ การตีความ ทำให้ Hello World เป็นหนึ่งในภาพยนตร์อนิเมะที่ลงตัวมาก
หลายคนอาจจะไม่ชอบงานภาพเรื่องนี้ แต่อยากให้ลองเปิดใจดู แล้วลองวิเคราะห์ดูดีๆว่าทำไมมันถึงต้องใช้ภาพแบบนี้ด้วย
สำหรับตัวเนื้อเรื่องเป็นการผสมผสานระหว่างไซไฟ และความโรแมนติกได้อย่างลงตัว คาดเดาเนื้อเรื่องแทบไม่ได้
นอกจากนี้เพลงประกอบภาพยนตร์ในฉากเพราะมากๆ เลยทีเดียว