รีวิว Jinrui wa Suitai Shimashita

ในยุคที่มนุษย์ชาติใกล้ที่จะสูญพันธุ์ลงไปเรื่อยๆจนกลายเป็นโลกที่เหล่าภูติจิ๋วได้ครองโลก ความก้าวของมนุษย์เริ่มถดถอยลงไปเรื่อยๆทำให้ปัจจัย 4 ที่เป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิตลดลงไปด้วยเช่นเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้เองมนุษย์จึงต้องทำการผูกสัมพันธ์กับพวกภูติที่กำลังครองโลกเอาไว้ให้ดี ซึ่ง วาตาชิ ที่เป็นตัวเอกของเรื่องนี้เธอทำอาชีพที่เรียกว่าเจ้าหน้าที่ไกล่เกลี่ย ซึ่งถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆก็ คือ เป็นทูตระหว่างภูติและมนุษย์

ที่ทำหน้าที่เป็นคนไกล่เกลี่ยเหตุวุ่นวายที่เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์และพวกภูตินั่นเอง ซึ่งเหมือนว่ามันจะเป็นงานที่ง่ายๆแต่จริงๆแล้วเรื่องนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิดค่ะเพราะ วาตาชิ จะต้องคอยแก้ปัญหาและเหตุการณ์ประหลาดๆ

ที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับพวกมนุษย์และพวกคนรอบๆตัวเธออย่างไม่หยุดไม่หย่อน ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดส่วนมากก็มีต้นเหตุมาจากพวกภูตินี่แหละค่ะ

รีวิวอนิเมะ

เรื่องนี้เป็นแนวแฟนตาซีที่แตกต่างจากแฟนตาซีตลาดเรื่องอื่นๆครับ เพราะส่วนมากถ้าพูดถึงแฟนตาซี ก็มักจะเป็นแนวดาบและเวทมนต์ เป็นอาณาจักรยุคกลางยกทัพรบกันบ้างล่ะ แนวหลุดไปต่างโลก แต่พระเอกปรับตัวได้ไวโคตรๆบ้างล่ะ ไม่ก็แนวสาวน้อยเวทมนต์ แต่เรื่องนี้เป็นแฟนตาซีที่ค่อนข้างดิสนีย์ๆหน่อยๆ

เล่มแรกๆจะมีการเดินเรื่องที่สบายๆ ไม่เน้นดราม่า แถมยังมีแง่คิด และมุมมองต่างๆเต็มไปหมด ทั้งสิ่งที่นางเอกแสดงให้เห็น และสิ่งที่เหล่าภูตจิ๋วสร้างขึ้นมา แต่พูดมากไม่ได้ เดี๋ยวมันสปอยเนื้อเรื่องซะหมด บอกได้แต่ว่าน่าสนใจมากทีเดียวครับ

ข้อเสียมีแค่เรื่องเดียว ซึ่งอาจจะไม่นับเป็นข้อเสียก็ได้ นั่นคือการแปลชื่อเฉพาะนั้น โดยส่วนตัวรู้สึกมันขัดๆยังไงชอบกล เนื่องจากปกติแล้วมีความเห็นว่า ถ้าเป็นชื่อเฉพาะที่มีความหมาย จะทับศัพท์ หรือจะแปลก็ได้ แต่ถ้าเป็นชื่อเฉพาะที่ไม่มีความหมาย ก็ไม่จำเป็นต้องพยายามแปล เนื่องจากคนเขียนบัญญัติคำศัพท์ขึ้นมาใหม่ใช้ในเรื่องของเขาเท่านั้น เขาน่าจะมีความต้องการให้อ่านทับศัพท์มากกว่า

อย่าง “โจโคโบะ” ของซีรีย์ไฟนอลแฟนตาซี พวกเราก็ออกเสียงทับศัพท์ไปจริงมั้ยล่ะ ไม่จำเป็นต้องหาคำแปลก็ได้ แต่เรื่องนี้คนแปลพยายามแปลคำเฉพาะที่ไม่มีความหมายให้มันมีความหมาย อารมณ์ว่าพยายามหาความหมายให้มันซะอย่างงั้น ก็เลยรู้สึกขัดๆนิดหน่อย แต่คนส่วนใหญ่อาจจะชอบก็ได้ล่ะมั้ง

เรื่องย่อ
ในโลกที่มนุษยชาติกำลังเสื่อมถอย อารยธรรมและวัฒนธรรมต่างๆก็ค่อยๆหายไปจากโลก โดยมีเหล่า “ภูต” มนุษย์ยุคใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้าและอารยธรรมสูงส่งค่อยๆเข้ามาในสังคมมากขึ้นๆ

มีหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งทำหน้าที่เป็นคนกลางคอยสื่อสารระหว่างเหล่าภูตและมนุษย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ เธอต้องเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์แปลกประหลาดมากมายซึ่งล้วนแล้วแต่มีความเกี่ยวข้องกับเหล่าภูต

เนื้อหาและบริบท
บริบทในเรื่องนี้ จะกล่าวถึงสภาพสังคมของมนุษย์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์เต็มที อาหารต่างๆที่เคยหากินได้ง่ายในสมัยก่อนกลับหายไป วัฒนธรรมเก่าๆก็เริ่มหายไป สถาบันให้การศึกษาก็ไม่มีอีกแล้ว หลงเหลือแต่เพียงการใช้ชีวิตอันแสนเรียบง่าย

มนุษย์ยุคเก่าอย่างตัวเอกของเรื่อง เป็นผู้ที่ทำหน้าที่สื่อสารระหว่างกลุ่มของตนกับเหล่า ‘ภูต’ ซึ่งเป็นกลุ่มที่จัดได้ว่าเป็นมนุษย์รุ่นปัจจุบันที่ถือครองเทคโนโลยีเหนือธรรมชาติ ชอบทำทุกสิ่งที่สนุก และโปรดปรานของหวานเป็นชีวิตจิตใจ

วันหนึ่ง ก็มีคนเห็นสิ่งมีชีวิตบางอย่างวิ่งได้ นั่นก็คือไก่ซึ่งโดนถอนขนและไม่มีหัว(!?) ต้องเข้าไปพัวพันกับโรงงานของภูตซึ่งมีแต่เครื่องจักรกับมนุษย์แค่ 2 ชีวิต(?) ได้พบเจอหุ่นยนต์ประหลาด มีประสบการณ์ติดเกาะ ความสับสนของห้วงเวลา และการผจญภัยอีกมากมาย

รีวิว Jinrui wa Suitai Shimashita

ตัวละครหลัก
หมายเหตุ: การแนะนำตัวละครบางคน อาจจะไม่ละเอียดมากนัก เพราะไม่อยากสปอยล์ค่ะ
(หากได้ลองชม ปริศนาจะค่อยๆถูกเฉลยเองค่ะ)

คุณคนกลาง/ฉัน/สาวน้อยขนมหวาน – ตัวเอกของเรื่อง หญิงสาวผู้เป็นคนกลางระหว่างมนุษย์และเหล่าภูตประจำหมู่บ้านคุสุโนคิ ทำงานเป็นตัวแทนจากคณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแห่งสหประชาชาติ

คุณผู้ช่วย – หนุ่มรุ่นน้องผู้ทำหน้าที่ช่วยงานตัวเอก ขยันทำงาน แต่ไม่ค่อยพูดค่อยจา สื่อสารกับตัวเอกได้โดยที่ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยวาจาใด

คุณปู่ – คุณปู่ของตัวเอก เป็นคนที่เข้มงวดในบางเวลา แต่ก็เป็นห่วงหลานสาวมาก

ตัวละครอื่นๆ
Y – หญิงสาวผู้จบการศึกษารุ่นสุดท้ายจากโรงเรียนรุ่นเดียวกันกับตัวเอก มีรสนิยมความชอบบางอย่างที่แตกต่าง

พิออน – หญิงสาวแปลกประหลาดผู้บอกว่าตนกำลังตามหาพรรคพวกอยู่ ทว่าความทรงจำของเธอกลับไม่สมบูรณ์

ตอนพิเศษ
ตอนพิเศษจะมีทั้งหมด 6 ตอนด้วยกัน โดยแต่ละตอนจะมีความยาวโดยประมาณ 3 นาทีต่อ 1 ตอน
ทั้ง 6 ตอนนี้ จะมีเนื้อหาที่เกี่ยวเนื่องกัน ดังนั้น ไม่ควรจะพลาดแม้แต่ตอนเดียวเพราะเนื้อหาสั้นๆจะหายไป…พบกับการผจญภัยขนาดย่อมของตัวเอกของเรื่องได้ในตอนพิเศษเหล่านี้

เรื่องนี้ เท่าที่ทราบมา มีต้นฉบับมาจาก Light Novel ค่ะ (แต่ก็มีฉบับ Manga ออกมาด้วย) แต่เนื่องจากผู้เขียนมารับชมอนิเมะเป็นเวอร์ชั่นแรกและเวอร์ชั่นเดียว ผู้เขียนจึงจะขอกล่าวแค่ตามความรู้สึกต่อเวอร์ชั่นนี้เท่านั้นนะคะ

สำหรับความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนในการรับชมเรื่องนี้นะคะ ต้องบอกก่อนเลยค่ะ ว่าตอนที่ผู้เขียนเพิ่งรับชมตอนที่ 1 ไปนั้น มีความรู้สึกว่า เนื้อเรื่องค่อนข้างเนิบนาบ และไม่มีอะไรหวือหวาเลย…เวลา 20 กว่านาทีต่อ 1 ตอนมันช่างดูยาวนานมากๆระหว่างที่กำลังรับชมตอนดังกล่าว ทว่าพอจบตอนแรกนั่นเอง ภาพเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่คาดคิดว่าจะมีในอนิเมะที่ดูใสปิ๊งวิ๊งวับขนาดนี้ก็เกิดขึ้นค่ะ แม้ว่ามันจะเป็นอะไรที่แปลก (แปลกมาก…มากจริงๆ) แต่นั่นก็ผลักดันให้ผู้เขียนรับชมเรื่องนี้ต่อไป…

พอได้รับชมตอนต่อมา (ตอนที่ 2) ก็คิดว่า เรื่องนี้ก็พอโอเคนะ พอดูได้…จึงลองรับชมตอนต่อมาอีกค่ะ ทว่า…ในตอนที่ 3 นั้น เริ่มเรื่องมาได้อย่างค่อนข้างจืดชืด ทำให้ผู้เขียนลังเลว่าจะรับชมต่อไปอีกดีหรือไม่ แต่สุดท้าย ผู้เขียนก็ตัดสินใจรับชมต่อด้วยความเชื่อและความหวังเพียงหนึ่งเดียวว่า ‘เรื่องนี้มันต้องมีอะไรมากกว่านี้สิ’…และเมื่อจบตอนที่ 3 ความรู้สึกใหม่ก็เกิดขึ้นในระหว่างการรับชมเรื่องนี้นั่นเองค่ะ ซึ่งก็คือ “ก็สนุกดีนะ” และพอได้รับชมต่อไปเรื่อยๆอีก ผู้เขียนก็เริ่มรู้สึกจริงๆจังๆขึ้นมาแล้วค่ะ ว่า “เรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องที่ดีนี่นา!” ส่วนจะดีตรงไหน อย่างไร ก็ตามนี้เลยค่ะ….

รีวิวอนิเมะออนไลน์

รีวิว Jinrui wa Suitai Shimashita

ความรู้สึกหลังดู

แม้ว่าเรื่องนี้จะเริ่มมาอย่างงงๆ แล้วเหล่าภูตก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าน่ารักอะไรเท่าไหร่ในตอนแรก ทว่า พอได้รับชมไปเรื่อยๆ ผู้เขียนกลับหลงเสน่ห์ความน่ารักของเหล่าภูตไปได้ซะอย่างนั้นค่ะ…ในเรื่องนี้นั้น จัดได้ว่า ‘ค่อนข้างครบรส’ ทีเดียวค่ะ มีกลิ่นอายของแฟนตาซีบางเบา สอดแทรกมิตรภาพที่ดีและซาบซึ้ง มีมุมขำขันให้พอได้อรรถรส มีเทคโนโลยีที่ดู

ล้ำหน้า เคล้าไปกับการสะท้อนสังคมในแง่ของมุมมองในชีวิต เช่น สังคมวัตถุนิยม สังคมที่ผู้แปลกแยกมักจะกลายเป็นผู้ได้รับเคราะห์ เช่น การโดนกลั่นแกล้ง สังคมแห่งการแข่งขันทางธุรกิจ ทั้งยังรวมไปถึงการเสียดสีวงการ Manga ได้อย่างลงตัวพร้อมๆไปกับการบอกกล่าวว่ารสนิยมของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ทว่า แม้คนเราจะมีรสนิยมที่แตก

ต่างกัน ก็ยังสามารถเป็นเพื่อนกันได้…สิ่งที่สำคัญที่สุดในเรื่องนี้ที่ผู้เขียนเห็นว่าน่าจะยกมาเป็นประเด็นมากๆก็คือตอนท้ายเรื่องที่เรื่องนี้แทรกความเป็นจริงของมนุษย์เข้ามา ซึ่งคนเรานั้นแตกต่างกัน บางคนก็แสดงทุกอย่างทุกอารมณ์ออกมาอย่างตรงไปตรงมา ในทางกลับกัน บางคนก็หน้าเนื้อใจเสือ ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง ดังที่จะเห็นได้จากบางตัวละครซึ่งจะมีด้านมืดของตนอยู่และไม่แสดงออกมาให้ใครได้เห็น

อีกจุดหนึ่งที่ทำให้เรื่องนี้ดูแปลกแหวกแนว นอกจากการยำเอาหลายๆประเด็นทางสังคมมาใส่ในแต่ละตอนแล้ว ก็ยังมีการทำให้สิ่งที่ไม่มีชีวิต มีชีวิตจิตใจขึ้นมาได้…ซึ่งแม้ว่าผู้ชมอย่างตัวผู้เขียนจะรับรู้ว่า อย่างไรมันก็เป็นแค่เรื่องราวในเรื่องแต่ง แต่ก็ทำให้รู้สึกซาบซึ้งไปกับตอนนั้นๆได้ ซึ่งจุดนี้ ผู้เขียนคาดว่าน่าจะทำให้ผู้รับชมบางท่านยิ่งเกิดความรู้สึกเห็นใจและอยากทำความเข้าใจจิตใจผู้อื่นมากยิ่งขึ้น

ในเรื่องนี้นั้น ตอนแรกจะดำเนินเรื่องอย่างเชื่องช้ามาก (และอาจผสมปนเปมากับความมึนงงเบาๆ) แต่พอเริ่มดำเนินมาเกือบกลางเรื่องก็เริ่มเข้มข้นขึ้น สนุกขึ้น และยังรู้สึกว่าแปลกใหม่อีกด้วย แม้ว่าความรู้สึกที่พุ่งขึ้นในช่วงกลางเรื่อง อาจจะลดลงเล็กน้อยในช่วงครึ่งหลัง อันเป็นเพราะเน้นเรื่องราวในอดีตมากเกินไป โดยสำหรับตัวผู้เขียนนั้น แม้ว่าความสนุกตื่นเต้นของช่วงครึ่งหลังจะน้อยกว่าครึ่งแรก แต่เพราะความซาบซึ้งและหักมุมของเรื่องราวในอดีตเหล่านั้นมันมีมากพอ ทำให้ผู้เขียนยังคงประทับใจกับส่วนเล็กๆที่เน้นความซาบซึ้งอยู่ดีค่ะ

ดูอนิเมะออนไลน์

รีวิว Jinrui wa Suitai Shimashita

ในส่วนของเหล่าตัวละคร เรื่องนี้จะมีตัวละครหลักจริงๆน้อยมาก เพราะแต่ละตอนจะมีตัวประกอบใหม่ๆออกมาเสมอ ซึ่งก็ทำให้เรื่องดูมีสีสันดี…โดยส่วนใหญ่เนื้อเรื่องมักจะควบต่อเนื่องไป 2 ตอนค่ะ

นอกจากนี้ ภาพในเรื่องนี้ ออกจะเป็นภาพแนวผ่อนคลายที่ไม่ค่อยมีมิติที่ดูสมจริงเท่าใดนัก โทนสีก็ออกแนวพาสเทลหรือไม่ก็ใช้สีโทนสว่างและสีหวานซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ผู้เขียนไม่มีปัญหากับจุดนี้ค่ะ เพราะเวลาเห็นอนิเมะเรื่องใดที่ใช้ภาพแนวๆนี้ เรื่องเหล่านั้นจะสะดุดตาผู้เขียนก่อนเลยค่ะเพราะมันแปลกดี (ดังเช่นเรื่อง Tsuritama ก็ใช้ภาพพื้นหลังแนวๆนี้เหมือนกันค่ะ) เห็นภาพในเรื่องสีออกแนวน่ารักฟรุ้งฟริ้งแบบนี้ แต่ท่านผู้อ่านชายสามารถรับชมได้แน่นอนค่ะ ด้วยเนื้อหาบางช่วงบางตอนที่ออกจะหลุดนอกวงโคจรของภาพปกเรื่อง…และเพราะเหตุนี้เช่นกันค่ะ ที่ทำให้ผู้เขียนไม่สามารถให้เรทผู้ชมเป็น ‘ทุกเพศทุกวัย’ ได้…

กล่าวโดยสรุป ผู้เขียนเชื่อว่า ถ้าเรื่องนี้จะโดนใจท่านผู้อ่านได้ ท่านผู้อ่านต้องรู้สึกว่าเรื่องนี้สนุกตั้งแต่ปลายตอนที่ 3 ค่ะ และถ้าหากว่ารับชมไปถึงตอนที่ 5 (เป็นอย่างมาก) แล้วยังรู้สึกไม่ถูกใจ เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่แนวท่านผู้อ่านค่ะ…ส่วนผู้อ่านท่านใดที่ยังลังเลอยู่ แต่อยากจะหาของแปลกรับชมดู (แปลกในเชิงแนวคิด ไม่ใช่แปลกแบบต่อต้านมาตรฐานหรือความนิยมทั่วไปอย่างเรื่อง Binan นะคะ) ก็ลองรับชมเรื่องนี้ดูได้นะคะ ^^

รีวิว Jinrui wa Suitai Shimashita

โดยจำนวนตอนที่มีไม่มาก ทำให้ผมอาจจะไม่สามารถกล่าวถึงเนื้อความอันสลักสำคัญได้อย่างเต็มที่อย่างเรื่องอื่นๆ นะครับ

มาว่ากันที่เรื่องราวของอนิเมะเรื่องนี้กันเลย เรื่องราวกล่าวถึงโลกในอนาคตที่ใกล้ถึงวันสิ้นสูญ มนุษยชาติกำลังถดถอยและเสื่อมซึ่งความเป็นมนุษย์ เป็นเหตุในโลกใบนี้เริ่มถูกยึดครองอย่างอ้อมๆ โดย “ภูติ” ไปอย่างช้าๆ ซึ่งเหล่าภูติที่ยึดครองโลกนี้ก็หาใช่สัตว์ประหลาดหรือปีศาจที่แสนน่ากลัวไม่

พวกมันมีความสูงเพียงคืบ และสัดส่วนของหัวและตัวแทบจะเท่ากัน เรียกได้ว่ามีความจิบิแบบสุดๆ ไปเลยละครับ แต่ถ้าเทียบสัดส่วนกับมนุษย์ในอัตราที่เก่ากันแล้ว จะเห็นได้ว่าพวกนั้นมีสมองที่ใหญ่โตอลังการมาก ทำให้มีสติปัญหาที่เฉียบแหลม ฉลาดเป็นกรด และโปรดปรานของหวานเป็นที่สุด

รีวิวการ์ตูนอนิเมะ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *