รีวิว KUBO AND THE TWO STRINGS
Kubo เป็นเด็กหนุ่มตาเดียวที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ กับแม่ที่ป่วย ( ชาร์ลิซเธอรอน ). Kubo มีกีตาร์วิเศษที่ช่วยให้เขาควบคุม origami ได้และเขาใช้ของขวัญนี้แสดงให้ชาวเมืองทุกวัน แต่เขาต้องกลับบ้านก่อนที่ดวงจันทร์จะขึ้น วันหนึ่งคูโบอยู่ข้างนอกดึกเกินไปและถูกปู่ของเขาค้นพบ
Moon King ( Ralph Fiennes ) ที่ต้องการใช้สายตาอีกข้างของ Kubo เขาส่งพี่สาวที่ชั่วร้ายของแม่ของเขาไป ( รูนีย์มาร่า ) ตามหลังเด็กชาย แต่ด้วยความเข้มแข็งสุดท้ายของเธอแม่ของ Kubo จึงขับไล่พี่สาวของเธอและส่ง Kubo ไปให้ไกล ๆ โดยได้รับความช่วยเหลือจาก Monkey (เช่น
เดียวกับ Theron) ซึ่งเป็นโทเท็มขนาดเล็กที่มีชีวิตขึ้นมา ขณะที่ Monkey และ Kubo เดินทางไปทั่วแผ่นดินพวกเขาคัดเลือก Beetle ที่มีความหมายดี ( Matthew McConaughey ) อดีตทหารในการจ้างงานของพ่อผู้ล่วงลับของ Kubo และทั้งสามออกเดินทางเพื่อค้นหาดาบชุดเกราะและหมวกวิเศษที่จะช่วยให้ Kubo เอาชนะ Moon King ได้
คูโบ้ เด็กชายผู้มีความเฉลียวฉลาด จิตใจงดงาม เขาใช้ชีวิตเรียบง่ายในเมืองริมทะเล แต่แล้วเมื่อถูกวิญญาณอาฆาตตามรังควาน เขาจึงต้องออกผจญภัยกับลิง และด้วง เพื่อปกป้องครอบครัว เขาออกค้นหาดาบ เสื้อเกราะ และหมวกนักรบ เพื่อไขปริศนาของพ่อ ซามูไรนักรบผู้ยิ่งใหญ่ที่พลีชีพ
ในสนามรบ อีกทั้งเขาต้องต่อสู้กับเหล่าทวยเทพและอสุรกาย รวมถึง มูนคิง ผู้เต็มไปด้วยความอาฆาต และ คู่แฝดปีศาจเพื่อไขความลับแห่งตำนาน และทำให้ครอบครัวมารวมกันอีกครั้ง อนิเมะ
Kubo and the Two Strings เป็นผลงานสร้างสรรค์ลำดับที่สี่ แห่ง Laika studios สตูดิโอนี้ทำหลายคนเป็นแฟนพันธุ์แท้มาแล้ว จากหนังขวัญใจมหาชนอย่าง Coraline (2009) ParaNorman (2012) และ The Boxtrolls (2014) เรียกว่าสร้างงานที่มีเอกลักษณ์สไตล์สต๊อปโมชั่นที่น่าจดจำ
มากๆ ยิ่งโดยเฉพาะในยุคหลังๆที่แบบว่าหนังอนิเมชั่นสามมิติครองพิภพจบสากล และการจากไปของ เรย์ แฮร์รี่เฮาเซน เจ้าพ่อสเปเชี่ยลเอฟเฟกต์ในปี 2013 ที่เคยใช้เทคนิคสต็อปโมชั่นในหนังฮอลลีวู้ดสมัยก่อนหลายเรื่องอย่าง Jason and the Argonauts (1963) ก็เหมือนเป็นระฆังบอกการเสื่อมความนิยมของเทคนิคยุคเก่าด้วย
ด้วยความที่ต้องใช้ช่างฝีมือจำนวนมาก วัตถุดิบการปั้นหุ่นและโรงถ่ายขนาดใหญ่ ตลอดจนระยะเวลาการถ่ายทำแบบอักโข ไม่ต้องสืบเลยว่าทำไมหนังฮอลลีวู้ดถึงหันไปใช้บริการคอมพิวเตอร์แทนเป็นทิวแถว และปล่อยให้งานสต็อปโมชั่นเป็นทางเลือกของหนังที่ต้องการสื่อความเป็นศิลปะสูง และความบ้าพลังของศิลปินขั้นสุดยอดเท่านั้น
และสตูดิโอไลก้านี่เอง ที่เป็นอีกทีมที่หลงเสน่ห์แห่งการควบคุมเสี้ยววินาทีนี้ หลังจากเป็นสตูดิโอที่เคยร่วมงานกับเจ้าพ่อแห่งสต็อปโมชั่นคนหนึ่งในยุคปัจจุบันอย่าง ทิม เบอร์ตัน ไลก้าก็เริ่มลงทุนสร้างหนังอย่าง โครอลไลน์ ออกมา ซึ่งด้วยความบ้าพลังมันเลยเป็นหนังสต็อปโมชั่นที่ยาวที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างมา ด้วยความยาว 100 นาที และได้ผลตอบรับที่ค่อนข้างบวกๆด้วย
หลังจากโปรเจคโครอลไลน์ที่สร้างมาจากนิยายแล้ว ไลก้าก็เริ่มมองหางานที่เป็นออริจินัลของตนเอง ในทางหนึ่งก็พัฒนาหนังอย่าง พารานอร์แมน และเดอะบ็อกซ์โทรลส์ ออกมาให้แฟนๆไม่หลงลืม แต่อีกทางก็เตรียมการสำหรับผลงานที่ทะเยอทะยานที่สุดของค่ายเรื่องนี้
ถ้าคุณคิดว่า โครอลไลน์ บ้าพลังแล้ว หนังเรื่องนี้คือซูเปอร์ไซย่าร่างสองร่างสามของความบ้าพลังนั้นเข้าไปอีก ด้วยการลงมาคุมงานเองของ CEO ของไลก้าอย่าง Travis Knight จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าขนาดให้คนอื่นทำ งานยังออกมาบ้าขนาดนั้น ถ้าผู้บริหารทำเองยิ่งไม่มีอั้นไม่มีกั๊กเข้าไป
ใหญ่ ซึ่งพี่แกจัดเต็มจริงเพราะคูโบ้ฯกลายเป็นหนังสต็อปโมชั่นที่ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ เอาชนะผลงานเดิมของค่ายไปด้วยความยาว 101 นาที ด้วยระยะเวลาการสร้างนาน 5 ปี เฉลี่ยแล้วเวลา 4.3 วินาทีที่เราได้ชมบนจอหนัง จะต้องใช้เวลาสร้างและถ่ายทำนานราวๆหนึ่งสัปดาห์ทีเดียว
รีวิว KUBO AND THE TWO STRINGS
และด้วยความละเอียดละออในการสรรค์สร้างอารมณ์ของตัวคูโบ้ให้สมจริงที่สุด ทีมสร้างได้ปั้นใบหน้าของคูโบ้ไว้ใช้ถ่ายถึง 48 ล้านแบบ และมีใบหน้าตัวต้นแบบถึง 23,187 แบบทีเดียว ต้องขอบคุณเทคโนโลยีพิมพ์สามมิติที่เข้ามาร่นเวลาการปั้นลงได้มาก เพราะนี่เฉพาะแค่ตัวเอกตัวเดียวนะครับ ยังไม่นับหุ่นโครงกระดูกยักษ์ความสูงเกือบ 5 เมตรที่กลายเป็นหุ่นสต็อปโมชั่นที่ใหญ่สุดที่มีการสร้างด้วย กับฉากท้องทะเลแปรปรวนที่พี่แก
เสกสรรค์ขึ้นมาอีก โห อยากกราบเลย บอกตรงๆดูไปผมไม่เชื่อเลยนะว่าพวกนี้มันคือสต็อปโมชั่น อย่างกับหนังคอมพิวเตอร์กราฟฟิกสามมิติชัดๆ ผ้าพริ้ว กระดาษปลิวงี้ ไม่อยากเชื่อจริงๆว่าเกิดจากการที่คนปั้นแล้วขยับมันทีละนิด ทีละนิด จนเคลื่อนไหวได้ ไม่แปลกเลยที่แม้เรายังไม่ต้องดูหนัง ดูแค่เบื้องหลังงานสร้างกับสถิติสุดพีคพวกนี้ เราก็พร้อมกราบทีมสร้างได้แล้วล่ะครับ อนิเมะออนไลน์
ส่วนตัวหนังพอได้ดูก็ต้องประหลาดใจแบบสุดๆ เหมือนกันครับ คูโบ้ฯ เป็นหนังที่มีความตะวันออกในทุกกระเบียดนิ้วทีเดียว แต่ก็ไม่ใช่ตะวันออกแบบที่เราชินนะครับ เป็นตะวันออกแบบที่ตะวันตกมองมากกว่า ทั้งใบหน้าตัวละครที่ตามท้องเรื่องอิงว่าอยู่ในประเทศญี่ปุ่นแต่ใบหน้าออกจะไป
ทางจีนมากกว่า (นึกอารมณ์เดียวกับเวลาเรามองฝรั่งชาติไหนๆก็หน้าเหมือนอเมริกันไปหมดล่ะนะ) องค์ประกอบศิลป์ต่างๆในเรื่องก็เป็นญี่ปุ่นชัดเจนมากทั้งฉากป่าไผ่ สุสาน หมู่บ้าน ปราสาท ตัวละครฝั่งพระเอกอย่าง ลิงที่ชวนนึกถึงโมโมทาโร่ ซามูไรด้วง หรือแม่ของคูโบ้ในชุดกิโมโนเป็นต้น
กลับกันในทางฝั่งตัวร้ายกับชวนให้เรานึกถึงจีนแบบจีนจริงๆ ทั้งรูปลักษณ์ตาแก่หนวดยาวในชุดแบบขุนนางจีนของราชาพระจันทร์ ตัวละครปีศาจร้ายสองพี่น้องในชุดคล้ายจอมยุทธสีดำสวมหน้ากากที่คอยไล่ล่าพระเอก ในขณะที่ปีศาจรายทางอย่างโครงกระดูกยักษ์ก็เอามาจากตำนานพื้นบ้าน
ของญี่ปุ่นอย่างปีศาจที่ชื่อกาซาโดคุโระ เป็นต้นด้วย คือใครหลงใหลบรรยากาศสวยๆแบบตะวันออกนี่พริ้มเลยครับ สวยจริงๆ ถึงหน้าจะตี๋ๆหมวยๆไปซะหมดก็เถอะ
ความรู้สึกหลังดู
ประหลาดใจเข้าไปอีกจากที่ดูตัวอย่างก็คิดไว้ว่า ไลน์เรื่องไม่มีอะไรมากไปกว่าเด็กน้อยที่มีพลังพิเศษต้องเดินทางไปกับสหายแปลกประหลาดเพื่อปราบปีศาจร้าย ก็สไตล์นิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นที่เราคุ้นๆกันดี แต่พอดูเข้าจริงต้องบอกว่าหนังพูดในประเด็นที่อภิปรัชญาพอสมควรเลยครับ กับคำถาม
เช่นว่า ความตายถือเป็นสิ้นสุดหรือไม่ สิ่งที่ผู้จากไปจะเหลือทิ้งไว้คืออะไร ความไม่มีอารมณ์และเป็นนิรันดร์ (สภาวะแห่งเทพ) คือทางแห่งความสุขจริงหรือ ราวกับว่าทีมงานกำลังพูดถึงตัวเองและเหล่าบุคลากรแห่งวงการสต็อปโมชั่นว่า สิ่งที่พวกเขาทุ่มเทสร้างขึ้นไว้แก่โลกนี้จะสูญสลายเปล่า
ประโยชน์ไหมเมื่อเวลาผ่านไป คนอย่าง เรย์ แฮร์รี่เฮาเซน จะถูกหลงลืมไหมเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนผันไป มันเหมือนว่าการสร้างหนังเรื่องนี้เป็นการบำเพ็ญพรตของเหล่าอนิเมเตอร์เลยล่ะครับ อยากบอกว่าพวกพี่น่าจะเป็นเซียนแล้วล่ะจากหนังเรื่องนี้ ดูอนิเมะออนไลน์
น่าเสียดายนิดเดียวว่าคำถามและแนวคิดอภิปรัชญาพวกนี้ ยังไม่กลืนเป็นเนื้อเนียนเดียวกันกับการเดินเรื่องของคูโบ้ คือบางจังหวะเด่นชัดมากว่าเป็นการยัดปากตัวละครพูด มากไปกว่าจะให้ผู้ชมซึมซับเข้าใจด้วยเหตุการณ์ของตัวเรื่องจริงๆ นอกจากนี้ยังมีการใช้สัญญะหลายอย่างที่สื่อความ
หมายนามธรรมด้วย อย่างรอยแผลที่ตาในหลายๆตัวละคร และสายพิณที่เป็นที่มาของชื่อหนังด้วย เป็นต้น เลยคิดว่าหนังน่าจะเหมาะกับผู้ใหญ่มากกว่า แต่น้องๆเด็กๆก็คงสนุกไปกับเรื่องราวการผจญภัยได้ล่ะครับแต่อาจเก็บสาระไม่ได้ครบเท่าคนที่มีประสบการณ์ชีวิตมากกว่า
ไม่แปลกใจเลยที่ดาราเบอร์ใหญ่หลายคนสมัครใจเข้ามาให้เสียงตัวละครทั้ง Charlize Theron ในบทเจ๊จ๋อ Ralph Fiennes ในบทราชาพระจันทร์ Matthew McConaughey ในบทซามูไรด้วง และ Rooney Mara ในบทปีศาจสองพี่น้อง ด้านคูโบ้ก็ได้นักแสดงรุ่นเยาว์อย่าง Art Parkinson หรือ
เจ้าหนูริกค่อนแห่งตระกูลสตาร์ก จากเรื่องเกมออฟโธรนส์ มาพากย์ด้วย เลยยิ่งไม่แปลกใจที่สื่อนอกฟันธงกันแล้วว่านี่คือตัวเต็งชิงออสการ์ปีหน้าอย่างแน่นอนแล้วครับ
เล่าเรื่องผู้สร้างไปพอหอมปากหอมคอ มาดูที่เรื่องราวของหนังกันบ้างครับ Kubo and the Two Strings เล่าเรื่องของเด็กหนุ่มนามคูโบ ผู้อาศัยอยู่กับแม่บนผาสูงแค่ลำพัง ปลีกตัวออกจากหมู่บ้านเล็กที่ตั้งอยู่ตรงตีนเขา แต่ละวัน คูโบจะสะพายพิณคู่ใจและมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านแห่งนั้นในฐานะของนักเล่านิทานปอนๆ และนำเงินที่ได้มาจุนเจือทั้งเขาและแม่ ด้วยมีพรสวรรค์ทางการเล่า นิทานของคูโบจึงเป็นที่ต้องใจชาวบ้านอย่างไม่ยาก หากแต่พอเรื่องราวดำเนินมาใกล้จุดจบเสียทุกครั้งก็ปรากฏว่าดวงตะวันได้เคลื่อนคล้อยใกล้จะตกเสียทุกที ซึ่งด้วยเพราะว่าแม่ของเขาเน้นย้ำอยู่เสมอว่าให้รีบกลับบ้านก่อนอาทิตย์ตก คูโบจึงจำต้องรีบกลับไปยังผาสูงให้ทันเวลาก่อนพระอาทิตย์ลาลับ
หนังค่อยๆ เปิดเผยเรื่องราวให้เรารับรู้ว่าเหตุที่คูโบกับแม่ต้องมาอยู่อย่างโดดเดี่ยวเช่นนี้ก็เพราะต้องการหลบหนีจากการตามล่าตัวจากน้องสาวฝาแฝดและบิดาของแม่ (หรือคุณตาของเขา) ที่ต้องการครอบครองดวงตาของคูโบ
แต่อยู่มาวันหนึ่งคูโบเผลออยู่ข้างนอกจนเกินเวลา จนเขาถูกครอบครัวอันชั่วร้ายของแม่หาตัวพบ คูโบจำต้องหลบหนีจากการไล่ล่า และพร้อมๆ กันก็ต้องออกตามหาดาบและชุดเกราะวิเศษซึ่งเป็นเพียงทางรอดเดียวที่จะต่อกรกับคุณตาของเขาได้ ระหว่างการเดินทางเขาได้พบกับลิงหิมะ และด้วงซามูไรซึ่งคอยช่วยเหลือเขาอยู่เสมอตลอดการผจญภัยครั้งนี้
หนังเทพมากๆครับ สายอาร์ต สายอนิเมชั่นห้ามพลาดเลย ควรนั่งดูให้จบยังเครดิตเลยนะจะได้เห็นงานสร้างเล็กๆน้อยๆที่ยืนยันตอกย้ำว่าที่ดูมาสองชั่วโมงกว่านี่คืองานที่สร้างขึ้นจริง ปั้นจริง ถ่ายจริง ทุกชิ้น คารวะงามๆเลยครับ หนังเข้าฉาย 8 กันยายนนี้ แต่จะมีรอบพิเศษหลัง 2 ทุ่มฉายนำหน้ามาก่อนตั้งแต่วันที่ 1-7 กันยายนนี้ครับ ไปลองกันได้เลย