รีวิว My Neighbor Totoro (1988)
อนิเมะยุค 80 ปี 1988 ของประเทศญี่ปุ่น อยู่ในค่ายของสตูดิโอจิบลิ (GHIBLI) สำหรับค่ายนี้ไม่เคยทำให้เราผิดหวัง ไม่ว่าจะออกอนิเมชั่นเรื่องอะไรมาก็ถือว่าสนุกทุกเรื่อง สำหรับเรื่องนี้โทโทโร่เพื่อนรัก เพิ่งมาเป็นที่รู้จักก็ต่อเมื่อออกฉายผ่านไปนานแล้ว
เรื่องมีอยู่ว่า
เด็กน้อยสองคนชื่อ ซาซึกิและเมย์ย้ายบ้านมาอยู่ที่ชนบทและได้พบกับสัตว์ประหลาดชื่อว่าโทโทโร่นับแต่วันที่เด็กน้อยทั้งสองได้พบกับโทโทโร่ ก็มีเรื่องราวมหัศจรรย์เกิดขึ้นมากมายราวกับความฝัน
แม่ของทั้งสองป่วยและรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลมานาน วันหนึ่งถึงกำหนดที่แม่จะกลับบ้าน โรงพยาบาลกลับโทรเลขมาให้พ่อติดต่อกลับไป ทั้งซาซึกิ และเมย์กลัวว่าจะเกิดเรื่องร้ายกับแม่ น้องสาวเมย์ จึงหอบข้าวโพดวิ่งไปโรงพยาบาลโดยหวังว่าจะให้แม่กินเพื่อให้อาการดีขึ้น
ฝ่ายซาซึกิเมื่อเห็นน้องหายไปนานจึงออกตามหาแต่ก็ไม่พบ เมื่อได้ยินข่าวว่าพบรองเท้าของเมย์ ในสระน้ำจึงรีบรุดกลับมาดู แต่ก็โล่งใจเมื่อเห็นว่าไม่ใช่รองเท้าของน้องสาว เธอหมดหนทางตามหาน้องจึงขอความช่วยเหลือจากโทโทโร่ พี่น้องทั้งสองจึงได้พบกันและได้นำของฝากไปเยี่ยมแม่ จากนั้นเนื้อหาก็แสดงต่อในเพลงท้ายเรื่อง บอกกล่าวเป็นนัยว่าเรื่องราวจบลงอย่างมีความสุข
Totoro หรือโทโทโร่ เป็นตัวการ์ตูนที่หลายคนน่าจะรู้จักมักจี่กันดีพอสมควร นี่คือหนึ่งในอนิเมชั่นที่โดดเด่นของ Studio Ghibli ถึงขั้นนำโทโทโร่มาเป็นมาสค็อตค่ายเลย สำหรับอนิเมชั่นที่เป็นภาพยนตร์ความยาวประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งนี้ฉายตั้งแต่ปี 1988 หรือประมาณ 30 ปีก่อน แต่เมื่อหยิบกลับมาดูในวันนี้ก็ไม่รู้สึกว่ามันเก่าเลย
My Neighbor Totoro กำกับโดย Hayao Miyazaki เรื่องนี้ เล่าเรื่องช่วงปี 1958 ของครอบครัวหนึ่งมีคุณพ่อ และเด็กหญิงสองคน คนโตชื่อซัทสึกิ (Noriko Hidaka) คนเล็กชื่อเม (Chika Sakamoto) พวกเขาเพิ่งย้ายบ้านไปยังชนบทเพื่อให้ได้ใกล้แม่ของทั้งคู่ตอนนี้ป่วยรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล
ซึ่งห่างจากบ้านพวกเขาไปประมาณ 3 ชั่วโมง บ้านที่พวกเขาไปอยู่นั้นแวบแรกดูเหมือนบ้านผีสิง เพราะทั้งทรุดโทรมทั้งผุกร่อน ลมพัดทีก็หวั่นว่าจะปลิวเอา นอกจากนี้ ในป่าลึกใกล้ๆ บ้าน เด็กหญิงทั้งคู่ยังได้เจอโทโทโร่ สัตว์วิเศษที่คุ้มครองป่าอีก พวกเขาได้เป็นเพื่อนกัน และทำให้เกิดเหตุการณ์มหัศจรรย์มากมาย
เมื่อดูเผินๆ แล้ว อนิเมชั่นเรื่องนี้เหมือนจะเรียบง่ายและไม่มีอะไรมาก ซึ่งถ้าดูแบบไม่คิดอะไร มันก็ธรรมดาๆ จริงๆ นั่นละสำหรับเรา เป็นอนิเมชั่นที่เด็กๆ ดูได้ และผู้ใหญ่ก็สามารถหยิบมาดูคลาดเครียดได้เหมือนกัน เหตุผลหลักๆ คือความสดใสของเด็กๆ
ทั้งเมและซัทสึกิ ที่ยังอายุน้อยมากๆ ทำให้ทั้งคู่กล้าที่จะลองนู่นลองนี่ มีความอยากรู้อยากเห็น ไม่เกรงกลัวภูตผีปีศาจ มันคือความไร้เดียงสาที่เราทุกคนเคยมีเมื่อครั้งยังเยาว์วัย ก่อนจะถูกประสบการณ์และชีวิตแต้มสีให้เริ่มมีมุมมองและความรู้สึกต่อสิ่งนู้นสิ่งนี้
ดังนั้นการได้ดูสองพี่น้องผจญภัยและเล่นตามประสาเด็กๆ มันก็เหมือนย้อนวัยเราเหมือนกันนะ ดูๆ ไปแล้วก็อิจฉาเด็กๆ เหมือนกัน ที่ไม่มีความกลัวมาขวางกั้นในการทำสิ่งต่างๆ
ซัทสึกิเป็นพี่สาวที่โตขึ้นมาหน่อย เนื่องจากแม่เข้าโรงพยาบาล และพ่อก็ต้องทำงาน เธอจึงต้องรับหน้าที่ดูแลน้องสาว จึงจะเห็นได้ว่าเธอค่อนข้างมีความเป็นผู้ใหญ่ มีสัมมาคารวะ ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกตัวเองได้ ไม่เหมือนเมที่ยังอายุแค่ 4 ชวบ ยังร้องไห้กระจองอแงเมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ อีกทั้งยังมีความอยากรู้อยากเห็นที่มากกว่า ชนิดที่ไม่เกรงกลัวอันตรายใดๆ เลย
เด็กอีกคนหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นวัยเด็กได้ชัดคือคันตะ เด็กชายร่วมรุ่นกับซัทสึกิ เมื่อเขาเจอซัทสึกิแวบแรก เราก็รู้เลยว่าเขาชอบเด็กหญิงแน่ๆ แต่ก็ไม่อยากยอมรับตรงๆ เพราะกลัวเสียฟอร์ม เลยเริ่มต้นด้วยการแกล้งเด็กหญิงก่อน เข้าทำนองชอบใครให้แกล้ง แต่พักหลังๆ เขาก็เริ่มทำตัวดีขึ้น มีใจดีให้ยืมร่มบ้าง เดินเป็นเพื่อนบ้าง ดูแล้วก็อดเอ็นดูไม่ได้กับการสปาร์กเล็กๆ ในวัยเด็ก
สำหรับเจ้าโทโทโรนั้น แม้ว่าจะเป็นชื่อเดียวกันกับชื่อหนัง แต่ซีนที่โทโทโร่ออกโรงนั้นก็ไม่ได้มีบ่อย เมื่อเทียบกับเด็กหญิงทั้งสองแล้ว รายหลังถือเป็นตัวละครหลักไปเลย โทโทโร่ในความคิดเราจึงเปรียบเสมือนเพื่อนในจินตนาการของเด็กๆ ที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา
แต่ก็คอยมาเยี่ยมเรื่อยๆ และให้ความช่วยเหลือเมื่อเด็กๆ ต้องการ บุคลิกของโทโทโรนั้นน่ารักน่าเอ็นดู แม้จะไม่มีภาษาพูด แต่สีหน้าท่าทางและบุคลิกก็สื่อชัดเจนหมดเลยว่าตอนนั้นโทโทโรรู้สึกอย่างไร
การมีอยู่ของโทโทโรและผองเพื่อนนั้นทำให้โทนของหนังซอฟต์ลงเยอะมาก ถ้าตัดโทโทโร่ออกไป ก็จะเหลือแค่เด็กหญิงสองคนกับชีวิตธรรมดาๆ ในชนบท แถมยังต้องเจอกับสถานการณ์ที่แม่ป่วยอยู่โรงพยาบาล พอได้ยินข่าวเกี่ยวกับแม่ที เด็กๆ ก็จะกังวลที
ถึงขั้นน้องเล็กอยากพุ่งตัวไปหาแม่ที่โรงพยาบาลเองเลย ถ้าหนังไม่ได้ใส่จินตนาการเหนือจริงอย่างโทโทเร่เข้ามาหยิบยื่นความช่วยเหลือให้เด็กๆ หนังก็คงจะจืดชืดและค่อนไปทางน่าสงสารเด็กๆ มากกว่า
รีวิว My Neighbor Totoro (1988)
การมองความทรงจำอันแสนสุขแก่เด็กสาว
ผลงานชื่อดังของค่ายจิบลิ (Ghibli Studio) นำมาซึ่งชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกและตัวละครคุ้นตาจนกลายเป็นมัสคอตของสตูโอไปแล้ว เริ่มฉายเมื่อปี 1988 หรือเมื่อ 32 ปีก่อน กำกับโดย Hayao Miyazaki ซึ่งได้เล่าเรื่องในช่วงปี 1958 ของครอบครัวเล็ก ๆ ครอบครังหนึ่งมีคุณพ่อ และเด็กหญิงสองคน คนโตชื่อซัทสึกิ (Noriko Hidaka) คนเล็กชื่อเม (Chika Sakamoto)
พวกเขาได้ย้ายมาอยู่ชนบทเพื่อมาดูแลแม่ที่ป่วยรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่ใกล้กับบ้านของพวกเขามากขึ้น ความซุกซนของเด็กสาวทั้งคู่ก็ได้เริ่มต้นขึ้นไปกับการผจญภัย ในบริเวณบ้านของพวกเขามีป่าลึก เด็กหญิงได้เข้าไปสำรวจและได้พบเจอกับโทโทโร่ สัตว์วิเศษผู้คุ้มครองป่าแห่งนี้ พวกเขาได้เป็นเพื่อนกัน และโทโทโร่ก็สร้างเหตุการณ์มหัศจรรย์มากมายให้กับเด็กหญิงทั้งสอง
ความไร้เดียงสาที่ทำให้เกิดเรื่องราวกับ โทโทโร่
สิ่งที่หนังเรื่องนี้พยายามจะสื่อออกมาคือ ความไร้เดียงสา เนื่องจากเมและซัทสึกิ อายุยังน้อย ทำให้ทั้งคู่กล้าที่จะลองนู่นลองนี่ มีความอยากรู้อยากเห็น ไม่เกรงกลัวภูตผีปีศาจ มันจึงกลายเป็นความไร้เดียงสาที่เราทุกคนเคยมีเมื่อครั้งยังเยาว์วัย
ก่อนที่จะถูกประสบการณ์ชีวิตแต่งแต้มสีให้เรามีความคิด ความรู้สึกและมุมมองที่กว้างมากขึ้นเพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นการได้ดูสองพี่น้องผจญภัยไปอย่างไม่เกรงกลัวเช่นนี้ตามประสาเด็ก ๆ นั้น มันทำให้ผู้ชมรู้สึกอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ทำในสิ่งที่อยากทำ โดยไม่มีความกลัวมาขวางกั้นการกระทำเหล่านั้น
สำหรับตัวเด่นของเรื่องอย่างเจ้าโทโทโร่ เจ้าอ้วน ขนปุกปุยร่างใหญ่ ผู้มีพลังวิเศษมากมาย โทโทโร่เปรียบเสมือนเพื่อนในจินตนาการของเด็ก ๆ ที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่ก็คอยมาเยี่ยมเรื่อย ๆ
และคอยให้ความช่วยเหลือเด็ก ๆ เมื่อเด็ก ๆ มีปัญหา บุคลิกของโทโทโร่นั้นน่ารักน่าเอ็นดู แม้จะไม่มีภาษาพูด แต่สีหน้าท่าทางและบุคลิกก็สื่อชัดเจนเลยทีเดียวว่าเขานั้นรู้สึกอย่างไร และแสดงออกด้วยการกระทำในการช่วยเหลือเด็ก ๆ เสมือนบอดี้การ์ดเลยก็ว่าได้
การหยิบยื่นความช่วยเหลือจากเพื่อนในจินตนาการถือว่าเป็นการสร้างสรรค์ให้เนื้อหาของเรื่องดูมหัศจรรย์ขึ้น แม้คนอื่นจะมองไม่เห็นโทโทโร่ แต่จินตนาการของเด็กสามารถมองเห็นได้ ในอดีตเราอาจจะมีเพื่อนในจินตนาการเป็นของตนเอง จนเมื่อเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เราจึงหลงลืมเพื่อนคนนี้ไป
ความรู้สึกหลังดู
ในบ้านและเรื่องราวที่กลั่นกรองมาหลายศตวรรษ มากเสียจนในหมู่แพนธีออนของเทพและมารมีที่ว่างสำหรับความเรียบง่ายและทุกวัน เมื่อเด็กสาวสองคน (ซัทสึกิและเมย์) ย้ายออกจากเมืองพร้อมกับพ่อของอาจารย์ พวกเขาพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางชีวิตที่ยังคงความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ทุกคนมีพืชผล ทุกคนตั้งถิ่นฐาน และโทรลล์ที่เป็นมิตรจะอาศัยอยู่ภายในต้นไม้โบราณ
โทโทโร่เพื่อนรัก เป็นผลงานจากผู้กำกับอนิเมชั่นญี่ปุ่นในตำนาน ฮายาโอะ มิยาซากิ ในฐานะหนึ่งในสามผู้ก่อตั้ง Studio Ghibli ผู้ทรงอิทธิพลอย่างมากตลอดช่วงปลายทศวรรษที่ 80 ถึงกลางทศวรรษที่ 00 มิยาซากิกำกับและเขียนภาพยนตร์ที่จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้สร้างภาพยนตร์ทั้งรุ่นทั่วโลก
แม้ว่างานของเขาจะหลากหลาย (คุณสามารถชี้ไปที่รางวัลออสการ์ได้ Spirited Away, ผู้ร่าเริง ลิตเติ้ลเมอร์เมด respin นั่นคือ Ponyoหรือนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้งของ ปริ๊นเซ Mononoke), มันคือ โทโทโร่เพื่อนรัก ที่ยืนหยัดเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของพรสวรรค์ของเขา
หนังเด็กก็มี แล้วมีหนังเด็กมาตรฐาน จากนั้นก็มีภาพยนตร์ที่ก้าวข้ามกลุ่มประชากรและสร้างไอคอนทางวัฒนธรรมที่เป็นที่รัก ตั้งแต่ปี 1988 ประเทศญี่ปุ่นมี Totoro: จิตวิญญาณแห่งป่าไม้ขนาดใหญ่ ขนยาว และเป็นมิตร ซึ่งดูเหมือนจะดูแลวงจรฤดูใบไม้ผลิของการเติบโตและความเจริญรุ่งเรือง
ไม่ว่าจะเป็นกรณีนี้หรือไม่ก็ตาม มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารักและน่ากอดที่มีการแสดงออกที่งุนงงและความเบิกบานที่รับประกันว่าจะทำให้เกิดความสุขอย่างแท้จริงทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ Studio Ghibli ได้สร้างโลโก้บริษัทให้กับ Totoro ทันที นั่นคือการดึงดูดของสิ่งมีชีวิต
สำหรับภาพยนตร์ที่ทรงอิทธิพลดังกล่าว โทโทโร่เพื่อนรัก เป็นการยากที่จะทำความยุติธรรมเนื่องจากพล็อตมีน้อยโดยเจตนา เด็กสาวที่ร่าเริงสองคนสำรวจบ้านไม้เก่าในแท่งไม้ที่เป็นบ้านของพวกเธอ ไล่ผีเขม่าที่ลับๆล่อๆ และหมุนวนไปทั่วอาคารเหมือนที่เด็กเท่านั้นที่ทำได้ ขณะที่พวกเขาเข้าสู่ชีวิตใหม่ น้องเหมยก็สะดุดเข้ากับสิ่งมีชีวิตโทรลล์ขนยาวขนาดใหญ่ที่มีหนวดเคราที่แสดงออกถึงอารมณ์ ดวงตาที่ง่วงนอน และกรงเล็บเหมือนหมี ความสุขของเธอในเรื่องนี้คือเด็กทุกคนที่ค้นพบบางสิ่งที่น่าสนใจ และนั่นคือแก่นแท้ของสองในสามของภาพยนตร์: การผจญภัยในชีวิตประจำวันที่มีบางสิ่งที่เรียบง่ายอย่างลูกโอ๊กที่เติบโตเต็มไปด้วยความอัศจรรย์
ผู้ตรวจทานที่เรียนรู้มากกว่าที่ฉันพยายามจะคลี่คลายสิ่งที่ทำให้ โทโทโร่เพื่อนรัก เป็นหนังที่น่ารักและเป็นที่รัก อาจเป็นเพราะมันเป็นตัวแทนของมิยาซากิในจุดที่เขาจดจ่อมากที่สุด ต่อมา ภาพยนตร์ของมิยาซากิจะครอบคลุมประเด็นเรื่องความสงบ สิ่งแวดล้อมกับอุตสาหกรรม และเลเยอร์ของซับเท็กซ์ ในขณะที่ โทโทโร่เพื่อนรัก มีความคิดถึงเล็กน้อย
สำหรับวิถีชีวิตในชนบทที่เรียบง่าย ซึ่งแสดงออกผ่านแอนิเมชั่นที่งดงามมากกว่าการบรรยายที่หนักหน่วง ผีเสื้อบินวนไปมา ปลาแหวกว่ายในลำธาร และเก็บเกี่ยวพืชผลสดจากลำต้น สิ่งมีชีวิตที่มีขนยาวต้องการเป็นเพื่อนของคุณ และเมื่อเขาต้องการจะเดินทางโดย Cat Bus ขนาดใหญ่ที่มีหลายขาหลายขาก็จะส่งเสียงร้องครวญครางให้เขา
เป็นไปไม่ได้ที่จะเดินจากไป โทโทโร่เพื่อนรัก โดยไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าของคุณ ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างความบันเทิง เสริมคุณค่า และสนุกสนานอย่างเป็นธรรมชาติโดยปราศจากการดูถูกเหยียดหยามหรือเยาะเย้ยถากถางด้วยอารมณ์ในวัยเด็ก การเล่าเรื่องไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยภัยคุกคามหรือความขัดแย้ง (แม้ว่าความกลัวที่จะหลงทางจะประกอบ
ขึ้นเป็นฉากที่สาม) แต่กลับเกิดจากความอยากรู้อยากเห็นและการสำรวจ ‘โครงเรื่อง’ เป็นเพียงตัวละครที่อบอุ่นและมีปฏิสัมพันธ์กัน มากกว่าที่จะเป็นกองกำลังภายนอกที่ดึงดูดให้พวกเขาเดินหน้าต่อไป ด้วยวิธีนี้ ภาพยนตร์ได้บรรจุแก่นแท้ของชีวิตเรา แต่เสริมด้วยสิ่งมีชีวิตที่น่ารักอันรุ่งโรจน์ที่เราปรารถนาจะได้พบและถือครอง
แอนิเมชั่นเรื่องนี้ทำให้ผู้ชมมีแต่ความสุข และความอบอุ่นใจ เพราะเรื่องนี้ไม่มีตัวร้าย ความเกลียดชัง หรือความรู้สึกด้านลบเลยแม้แต่น้อย สามารถดูได้ทุกเพศทุกวัยจริงๆ ค่ะ รวมถึงความน่ารักของตัวละครไม่ว่าจะเป็นเมย์ หรือซาซึกิ ต้องลองไปชมกันค่ะ