รีวิว Sing ร้องจริง เสียงจริง
ณ เมืองที่มีแต่สิงสาราสัตว์ ทุกครอบครัวต่างมีหน้าที่ของตนเองใครประกอบอาชีพอะไรก็ดำเนินกันไป ทว่ามีโคอาล่าอยู่ตัวหนึ่งเป็นเจ้าของกิจการ ปลายปี 2559 นี่รู้สึกได้เลยว่าหนังเข้าไทยมาให้ตามดูเยอะมากมาย เรียกได้ว่ามีหนังดูเกือบทุกวัน เหมือนกับอัดอั้นมาตลอดทั้งปี หลั่งไหลมาให้ดูกันในช่วงนี้นี่เอง
วันอาทิตย์ก็ไม่เว้นครับ ออกจากบ้านมาดูหนังแอนิเมชั่นอีกสักเรื่อง ‘Sing’ ชื่อหนังสั้นมาก สั้นมากจริงๆ หนังเรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจให้ผมไม่น้อยเลยครับ 1). นี่คือหนังที่ดึงผมเขามาในวงการีวิวหนัง 2). นี่คือหนังที่ผมรีวิวเรื่องแรกในชีวิต 3). หนังเรื่องนี้สอนเรื่องการใช้ชีวิตผมได้ดีมากๆ และไอ้เหตุผลที่ว่ามาก็คงจะบอกได้ลางๆ แล้วล่ะครับว่าผมชอบหนังเรื่องนี้ขนาดไหน
“โรงละครมูน” ซึ่งเคยเฟื่องฟูพอตกมาที่มือลูกชายอย่าง “บัสเตอร์ มูน (แมทธิว แม็คคอนนาเฮย์)” กลับถึงคราวตกต่ำเป็นหนี้สินจนไม่มีเงินจ่ายธนาคาร แต่ “บัสเตอร์” ยังไม่อับจนความคิดเกิดปิ๊งไอเดียจัดประกวดร้องเพลงแบบสมัยนิยมประเภทเดียวกับ The Voice และ Got Talent แต่คุณกิ้งก่าพนักงานคนเดียวของโรงละครเกิดเล่นตลก ชีวิตพลิกผัน
ทำให้เกิดความผิดพลาดของจำนวนเงินรางวัลบนใบปลิวที่ได้ทำการแจกจ่ายออกไปทั่วเมือง “บัสเตอร์” ไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนซี้เพียงคนเดียว “เอ็ดดี้” คุณชายแกะที่บ้านรวยเงินถุงเงินถังมีคุณยายเป็นอดีตดาราดาวรุ่งของ “โรงละครมูน” สมัยที่พ่อของ “บัสเตอร์” ยังเป็นเจ้าของอยู่
หลังจากที่คัดเลือกตัวแสดงได้แล้ว “บัสเตอร์” เชิญชวน “นาน่า” คุณยายของ “เอ็ดดี้” เพื่อนซี้มาชมการแสดงรอบพิเศษ แต่ทว่า! กรรมเวรของ “บัสเตอร์” ยังไม่จบสิ้นเมื่อผู้เข้าแข่งขันตัวหนึ่งเกิดสร้างปัญหาโรงละครถูกกลุ่มหมีฉกรรจ์มาทำลายสถานที่จัดแสดงเป็นเหตุให้โรงละครพังพินาศ และในที่สุดถูกธนาคารยึดไป “บัตเตอร์” จะพลิกวิกฤตินี้เป็นโอกาสได้หรือไม่
เมื่อกิจการของมูน (McConaughey) เริ่มเดินทางมาถึงจุดบอด เขาจึงอยากจะรีบิ้ว์ (Rebuild) โรงละครของเขาขึ้นมาอีกครั้งโดยจัดการประกวดร้องเพลง (Singing Competition) ขึ้นมา แล้วก็มีผู้ประกวดเข้ารอบมา 6 คน อันได้แก่ “โรสิต้า” (Witherspoon), “จอห์นนี่” (Egerton), “แอช” (Johansson), “ไมค์” (McFarlane), “มีนา” (Kelly) และ”กุนเธอร์” (Kroll)
ผมชอบหนังเรื่องนี้มากครับ ตอนเข้าโรงนี่ผมดูล่อเข้าไป 4 รอบเลย แถมยังซื้อแผ่นเก็บมาไว้อีกต่างหาก เนื่องจากเนื้อหามันโดนใจผมมากครับ ว่าด้วยเรื่องราวของกลุ่มสัตว์ที่รวมตัวกันเดินทางตามฝัน ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรมากั้นไว้ก็พร้อมที่จะทลายมันไปพร้อมกัน และบทสรุปก็ประทับใจเสียเหลือเกิน หนังทำได้ตามมาตรฐานของค่าย Illumination (เจ้าของผลงาน Despicable Me ทั้งสามภาค) ดีไม่ดีผมว่าเรื่องนี้อาจจะดีกว่าเรื่องที่ว่ามาก็เป็นได้ครับ
ตัวละครในหนังก็ดูน่ารักมากครับ ส่วนตัวผมชอบจอห์นนี่มากที่สุดละ ที่จะเดินทางตามความฝันถึงแม้พ่อของเขาจะไม่ค่อยแฮปปี้ก็ตาม อีกคนที่ผมชอบรองลงมาก็คือพี่มูนของเรานี่แหละ พี่แกเป็นคนที่น่านับถือนะครับ ถึงแม้จะมีหนี้สินมากมายก่ายกอง หรือว่ามีเสียงด่าจากชาวเมืองนับไม่ถ้วน แต่แกก็ดั้นด้นเดินทางตามฝันครับ จนสุดท้ายปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นกับชีวิตของเขา ส่วนตัวละครอื่นๆ ก็โมเม้นท์ดีๆ ให้เล่นอยู่ไม่น้อยเลย
ถือว่ากระจายบทได้ดี
ในการแข่งขันมีตัวเก็งอยู่ 5 ราย คือ “ไมค์” หนูจอมเจ้าเล่ห์ (เซ็ธ แม็คฟาร์เลน) ผู้ขยับลูกคอได้พลิ้วไหวพอๆ กับลีลาในการต้มตุ๋นของเขา, “มีนา” ช้างสาวขี้อาย (ทอรี เคลลี) ผู้เกิดอาการตื่นเวทีได้เสมอ, “โรซิต้าร์” คุณแม่หมูลูกดก (รีส วิทเธอร์สปูน เจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด) ผู้วิ่งวุ่นกับการดูแลลูกน้อยทั้ง 25 ตัวของเธอ, “จอห์นนี่” กอริลลาแก๊งสเตอร์หนุ่ม (ทารอน อีเกอร์ตัน) ผู้ต้องการจะหลุดพ้นจากธุรกิจมืดของครอบครัว และ “แอช” เม่นสาวพังค์ร็อครักคุด (สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน) ผู้พลิกผันจากบทนักร้องเบอร์สองกลายเป็นนักร้องเดี่ยวที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ แต่ละตัวตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขันของบัสเตอร์ด้วยความเชื่อว่า การแข่งขันครั้งนี้เป็นโอกาสให้พวกเขาได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเองครั้งยิ่งใหญ่
ส่วนสุดท้ายที่ชอบมากๆ ก็คืองานภาพครับ ขุ่นพระ! จะสวยไปไหน ยิ่งถ้าได้ดู 4K นี่มันจะฟินไม่ใช่น้อยเลยนะ ส่สนสุดท้ายที่เป็นไม้แข็งของหนังทั้งเรื่องก็คือเพลงประกอบที่ใส่เข้ามาเรื่อยๆ ให้เราได้ฮึมฮัมหรือว่าขยับขาตามทั้งเรื่อง ทำให้การดำเนินเรื่องไม่น่าเบื่อจนเกินไป ส่วนในด้านเสียงพากย์ก็ทำได้ดีทั้งพากย์ไทยแล้วก็ Soundtrack เลย ฟังเพลินทั้งคู่เลย
Sing มาพร้อมกับเพลงฮิตมากกว่า 85 เพลง ตั้งแต่ยุค 30-40 ปีที่ผ่านมา จนถึงยุคปัจจุบัน เขียนบทและกำกับโดยการ์ธ เจนนิงส์ (Son of Rambow, The Hitchhiker’s Guide to the Galaxy) และอำนวยกาสร้างโดยคริส เมเลแดนดรี้และ เจเน็ต ฮีลลี
รีวิว Sing ร้องจริง เสียงจริง
เนื้อเรื่องเน้นไปทางความสัมพันธ์ของครอบครัวซะส่วนใหญ่ เหมือนจะบอกกลายๆ ว่านี่เป็นหนังครอบครัวนะ พาลูกไปดูได้เล๊ยย เอาซี้ พาลูกไปดูกันซี้ แต่หากย้อนกลับไปดูซักนิด เรื่องนี้มีธีมหลักของเพลงที่อายุน่าจะต้อง 20 – 25+ เป็นอย่างน้อย ถึงจะพอฮึมฮัมตามได้ แถมยังมีขวัญใจวัยรุ่นอย่าง “เซ็ธ แม็คฟาร์เรน” บุรุษผู้ซึ่งโผล่ไปที่ไหนก็คงจะไม่พลาดยิงมุขจิกกัด หรือบทพูดเสียดสีตามสไตล์เฮียแก ซึ่งอาจไม่เหมาะนักที่จะพาลูกเล็กมากๆ ไปดู
แม้ตัวหนังเองจะคอยแทรกตลอดว่าทำอะไรแล้วผลลัพธ์ออกมาแบบไหน แต่ Sing ไม่ได้เหมาะขนาดที่เด็กเล็กจะดูแล้วคิดได้เอง เนื้อหาหนังก็ไม่ได้หวือหวาอะไรมีเพียงแค่มุขตลกที่เราเห็นตามตัวอย่างหนัง และส่วนที่สนุกที่สุดก็ได้ถูกเผยมาเกือบหมดแล้ว เรื่องนี้ใช้เวลาทำนานร่วม 5 ปี สิ่งที่ทำให้เราไม่ผิดหวังกับการรอคอยครั้งนี้ คือเพลงประกอบที่คอยปล่อยแย๊บๆ ออกมาเบาๆ ตลอดทั้งเรื่อง ฟังได้เรื่อยๆ ไม่มีสะดุด ทุกเพลงเข้ากับทุกเหตุการณ์เป็นอย่างดี จนอยากครีเอทเพลย์ลิสต์นี้ไว้ฟังเองอีกซักที เรียกว่าเป็นแอนิเมชั่นเพลงเพราะระรื่นหู ภาพสวยสบายตา
คงจะเห็นว่าแอนิเมชั่นเรื่องนี้เต็มไปด้วยดารานักแสดงที่คุ้นชื่อมากมาย แต่พวกเขาได้ได้ออกมาให้เราเห็นหน้าหรอก มีให้รู้สึกได้แต่เสียงเท่านั้น เรื่องราวก็ดูเหมือนมีกลิ่น The Voice นิดๆ แต่สำหรับคนที่รักเสียงเพลง ยังไงมันก็ยังชวนให้อยากดูได้อยู่
ดูได้เพลิน ประสาหนังครอบครัว
ช่วงเริ่มต้นของ ‘ร้องจริง เสียงจริง’ เหมือนจะเป็นช่วงเวลาแนะนำตัว แนะนำให้รู้จักกับ บัสเตอร์ มูน เจ้าของโรงละครที่ตกต่ำผู้มองโลกในแง่ดีและหวังว่ารักษามันไว้ ก่อนจะพาเราไปรู้จักกับตัวละครหลักต่างๆ ทีละตัว
ยอมรับว่า เสียงหัวเราะของคนรอบข้างทำให้ผมหวั่นว่านี่ผมจะเป็นคนส่วนน้อยหรือไรที่แทบจะไม่ขำไปกับมุกของหนังแอนิเมชั่นเรื่องนี้ สำหรับผมมันเป็นหนังที่ดูได้เพลินๆ
ไม่มีอะไรชวนมีอารมณ์ร่วมได้มากเท่าที่ควร
ความรู้สึกหลังดู
หนังเชิญชวนให้รู้จักกับเรื่องราวเบื้องหลังของพวกเขา ได้เห็นถึงวิถีชีวิตที่แตกต่างกันของแต่ละตัวละคร มองดูเหมือนจะเล่าถึงเรื่องราวหลายอย่างจนเกินจะโฟกัสอะไรสักอย่างให้มากพอ ขณะที่มุกตลกที่ใส่เข้ามานั่น ก็มักจะออกไปในทางแป้กมากกว่าจะฮา จะมีบ้างบางช็อตที่มีความน่ารักแทรกๆ เข้ามาเป็นพักๆ
ถ้าจะมองไปถึงเพลงที่หยิบจับใส่เข้ามาในหนังถึง 85 เพลงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มันมากมายก็จริง นับกันไม่หวาดไหว ทว่าก็เหมือนตัดใส่เข้ามาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ไม่ทันจะได้อินก็ผ่านไปเสียแล้ว
ช่วงท้ายตีตื้น เวทีมินิคอนเสิร์ตดีดีนี่เอง…
แต่ก็ใช่ว่า ‘ร้องจริง เสียงจริง’ จะไม่มีอะไรที่น่าสนใจ เพราะในช่วงครึ่งค่อนไปทางท้ายของหนัง จะเป็นช่วงเวลาที่หนังตีตื้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด กับฉากการแสดงโชว์ของตัวละครแต่ละตัวที่ผ่านออดิชั่นมาบ้าง หรือได้รับโอกาสได้บ้าง มันเป็นช่วงที่ดูดีที่สุดในหนังจริงๆ
เพราะการทำโชว์ของเขาดูน่าสนใจดี แต่ละโชว์จะมีอีกฉากหนึ่งประกบไปด้วยเสมอ และจะมีผลที่ตามมาแทรกไว้ด้วยเสมอ
สิ่งที่ปูเอาไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องได้ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งในช่วงเวลานี้
ถ้าถามว่าอินสุดกับเรื่องราวของตัวละครตัวไหน คำตอบมันกลับกลายเป็นเรื่องราวดรามาในครอบครัวกอริลล่าเสียอย่างนั้น จอห์นนี่เป็นลูกที่ไม่ได้อย่างที่พ่อหมายมั่นปั้นมือ พ่ออยากจะให้ลูกเติบโตขึ้นมาในฐานะลูกของหัวหน้าแก๊ง แต่ทว่าลูกกลับรักในการร้องเพลง และมักจะหนีมาออดิชั่นและซ้อมอยู่บ่อยๆ จนภารกิจมิจฉาชีพของแก๊งพลอยมีอันเสียหายไปด้วย แต่ยังไง “พ่อก็คือพ่อ” …อยู่ดี
ช็อตนี้ทำเอาผมน้ำตาซึมได้เลย
หนังโชว์ความครีเอตในการคิดมุกหนังได้ดี โดยเฉพาะการจัดการของแม่หมูระหว่างที่ตัวเองออกมาซ้อมร้อง แต่แค่มันดูไม่เข้ากับบุคลิกของตัวละครและมันดูไม่สามารถไปใช้อธิบายต่อได้ ความครีเอตที่น่าสนใจที่สุดกลับเป็นการเอาปลาหมึกมาสร้างสรรค์เป็นเวที นั่นแหละ น่ารักมากที่สุดแล้ว
โดยรวมมันเป็นหนังที่ดูได้เพลินๆ กับครอบครัว ไม่เป็นพิษเป็นภัย แถมยังได้พลังของการทำตามฝัน การเลือกทางเดินที่รักและทำมันให้ดีที่สุด
ไม่ปล่อยทิ้งมันไว้กลางทาง
ชื่อภาพยนตร์: Sing / ร้องจริง เสียงจริง
ผู้กำกับภาพยนตร์: Christophe Lourdelet, Garth Jennings
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Garth Jennings
นักแสดงนำ: Matthew McConaughey, Reese Witherspoon, Seth MacFarlane, Scarlett Johansson, Taron Egerton, Jennifer Hudson, John C. Reilly
แนว/ประเภท: Animation, Comedy, Drama
ความยาว: 108 นาที
อัตราส่วนภาพ: 1.85 : 1
เรท: ไทย/ท, USA/PG
วันเข้าฉายในประเทศไทย: 22 ธันวาคม 2559 (Sneak Preview 19-21 ธันวาคม 2559 )
ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย/สตูดิโอ: Hammer & Tongs, Illumination Entertainment, Universal Pictures