รีวิว The Good Dinosaur
The good Dinosaur หนังเล่าถึงเหตุการณ์ถ้าตอนนู้นนนนนนนนนนนนนอุกกาบาตไม่พุ่งชนโลก ไดโนเสาร์ก็ไม่สูญพันธ์ ผ่านตัวละครที่ชื่อว่า อัลโล ( พันธ์คอยาว อพาโทซอรัส ) อัลโลพยายามจะต้องก้าวผ่านความกลัว เพื่อให้ครอบครัวภูมิใจให้ได้
โดยมีเพื่อนคู่ใจเป็นมนุษย์ที่พูดไม่ได้ นานทีเดียวกับการยืนรอนับวันเวลาว่า เมื่อไหร่เราจะได้พบกับแอนิเมชั่นจากสตูดิโอที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก Pixar Animation Studios มันเหมือนจะเนิ่นนาน ทั้งๆ ที่เราก็เพิ่งได้ชมแอนิเมชั่นชั้นดีอย่าง ‘Inside Out’ ไปได้เพียงไม่นาน ปลายปี 2015 ยังไม่ผ่านพ้น เราได้พบกับกับภาพยนตร์แอนิเมชั่นอีกเรื่องจากพิกซาร์ ‘The Good Dinosaur’
เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ค่าย Disney x Pixar ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดจากการ์ตูนอะนิเมชั่น Inside Out คราวนี้ทางค่ายเขาจึงขอส่ง The Good Dinosaur มาปิดท้ายส่งท้ายปี 2015 กันอีกสักเรื่อง
ถ้า 65 ล้านปีก่อน อุกกาบาตไม่ได้พุ่งชนโลก ไดโนเสาร์ไม่สูญพันธุ์ โลกของเราจะเป็นอย่างไร?
นับเป็นโปรเจคเจ้าปัญหาอีกหนึ่งเรื่องในระหว่างการผลิตของพิกซาร์ ตั้งแต่ประสบปัญหาแก้บท ผู้กำกับเดิมถอนตัว วิกฤตปลดพนักงานในบริษัท เลื่อนวันฉายแล้วเลื่อนอีกไปร่วม2ปี… ที่บอกได้เลยหนังเรื่องไหนมีข่าวปัญหาแบบนี้ เตรียมเจ๊งและไม่เจ๋งได้เลย แต่หนังเรื่องนี้ก็ออกตัวได้โอเคทีเดียวกับคะแนนรีวิวจากเว็บนอก
หนังเดิมเป็นต้นคิดของ Bob Peterson ผู้กำกับในเรื่อง Up (2009) ที่สร้างปรากฏการณ์การ์ตูนเด็กที่เห็นเลือดสีแดงเข้มแบบจะๆครั้งแรกของพิกซาร์ เขาเอาความประทับใจครั้งเดินนิทรรศการไดโนเสาร์สมัยเด็กมาใช้ เล่าถึงไดโนเสาร์คอยาววัยฉกรรจ์กับเหล่าพี่น้อง ก่อนที่จะบอกลาโปรเจคไปแล้วพิกซาร์ไปควานหาผู้กำกับมาแทนได้ ซึ่งก็คือ Peter Sohn (ทั้งชื่อรวมกันคล้ายๆนามสกุลผู้กำกับเดิมเลย 555) ซึ่งก็คือผู้กำกับอนิเมชั่นขนาดสั้นก้อนเมฆกับนกกระสาในเรื่อง Partly Cloudy (2009) ที่ฉายเปิดหัวเรื่องคุณปู่ซ่าของบ็อบนั่นเอง
การมาของผู้กำกับใหม่ ได้เปลี่ยนตัวเอกให้เป็นเด็กลง และเปลี่ยนปมปัญหาในเรื่องให้เป็นการต่อสู้กับธรรมชาติและสภาพแวดล้อมแทน โดยว่าด้วยธีมของการก้าวข้ามความกลัว การเรียนรู้ความเจ็บปวดของชีวิตที่เรียกว่าการเติบโตของตัวละคร ซึ่งก็เป็นไปตามเวอร์ชั่นที่ฉายจริงที่เราได้ดูนี่เอง ซึ่งส่วนตัวผมแม้ไม่ทราบเนื้อเรื่องฉบับแรก แต่คิดว่าการเปลี่ยนหลายๆอย่างน่าสนใจมาก โดยอดีตผู้ให้เสียงตัวละครหนึ่งที่ได้อ่านบทใหม่ก็บอกว่ามันดีกว่าที่เขาคิดไว้เยอะทีเดียว
สิ่งที่น่าสนใจมากๆสำหรับหนังเรื่องนี้ในความคิดผมคือ ความกล้าในการทลายขนบหลายๆอย่างของสตูดิโอเอง ถ้าอัพแสดงเลือดให้เห็นเป็นครั้งแรก อินไซด์เอ้าท์ยืนตัวเป็นการ์ตูนเด็กเพื่อผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์ กู้ดไดโนซอร์ก็เป็นการตบหน้าพวกบอกว่าการ์ตูนพิกซาร์เป็นงานของเด็กและเน้นโลกสวยฟีลกู้ดในหลายๆแง่ทีเดียว
.งานภาพของหนังพุ่งทะยานไปอีกหลายๆของหลายๆขั้นในแง่ระดับของซีจีทีเดียว แม้จะออกแบบตัวละครได้แบบการ์ตู๊นการ์ตูน แต่ฉากแวดล้อมนี่งดงามจนหลายฉากคิดว่าไปถ่ายของจริงมาหรือเปล่าเลยด้วยซ้ำ ซอฟท์แวร์ที่เอามาทำสภาพแวดล้อมนี่เรียกว่าสมบูรณ์มากๆ และที่แปลกคือการตัดกันระหว่างความสมจริงของฉากกับการตัดทอนรายละเอียดแบบการ์ตูนกลับอยู่ด้วยกันไปได้โดยไม่ขัดเขินเลย (ซึ่งงานภาพกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนอึ้งตั้งแต่เทรลเลอร์ปล่อยออกมา และพอได้ดูหนังจริงก้ต้องยอมรับว่าพี่เทพจริงๆ)
การเล่าเรื่อง แม้จะไม่มีอะไรใหม่ เป็นเพียงการจับซีนดราม่าที่เคยได้ผลมาปรับมาขยี้ด้วยกิมมิคหลายอย่าง เช่น การประทับรอยเท้า การสื่อสารโดยไม่ใช้คำพูดเพื่อแสดงความหมายของครอบครัว เป็นต้น อย่างได้ผล ส่งผลให้เป็นงานที่สะเทือนความรู้สึกในหลายๆฉาก ทั้งนี้ยังเป็นการก้าวออกจากคอนฟลิกแบบใสๆไปสู่ดราม่าหนักๆที่ไม่ค่อยเจอในงานการ์ตูนที่หน้าหนังแบ๊วๆแบบนี้ด้วย คือโดนหน้าหนังหลอกไปหลายอณูอยู่เหมือนกันว่าน่าจะหนักทางฟีลกู้ดคอมเมดี้คัมมิ่งออฟเอจ แต่ดันไปเจออะไรที่เกินคาดหลายอย่าง
ดีเทลในการเล่าเรื่อง ทำลายเซ็นส์ของความคาดหวังได้แบบ อึ้งชนิดไม่ทันตั้งตัว (เชื่อว่าฉากหาอาหาร กับฉากเปิดตัวกลุ่มนกน่าจะทำเอาทั้งโรงเงียบกริบได้ไม่ยาก เช่นเดียวกันกับฉากบทสนทนายามค่ำคืนเรื่องครอบครัว และการพบกันในฝัน ที่จะทำเอาน้ำตารื้นเอาได้ง่ายๆเลย)
รีวิว The Good Dinosaur
สิ่งแรกที่ต้องขอพูดถึงคือ จุดเด่นจุดขายที่ดีงามของ The Good Dinosaur นั่นก็คือ “งานภาพ” ซึ่งอันนี้เรายอมเลย ภาพอะนิเมชั่นของเขาสวยสมจริง งานละเอียด เป็นธรรมชาติ เหมือนเรากำลังดูสารคดี National Geographic หรือดูหนังจริงๆ ยังไงยังงั้น
แต่ถึงแม้งานภาพจะตระการตาและดูแพงแค่ไหน ในยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งเป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร content หรือ plot ของหนังเป็นสิ่งสำคัญกว่าตัวโปรดักชั่นหรือตัวนักแสดงนำอย่างปฏิเสธไม่ได้ ซึ่งสำหรับ The Good Dinosaur นี้ เราต้องบอกตามตรงเลยว่า หนังเขาพล็อตค่อนข้างอ่อนและน่าเบื่อจำเจ
ถ้าถามว่าผิดหวังมั้ย ก็นิดนึงนะสำหรับมาตรฐานดิสนีย์ แต่ก็ไม่ผิดหวังและเบื้อเบื่อเท่ากับเรื่อง Tomorrowland
การสร้างตัวละครร้ายให้เป็นสภาพแวดล้อมและตัวละครบางตัวทำได้อย่างแนบเนียน อย่างโหดร้าย และทำให้เรารู้สึกถึงความไม่แน่นอนของชีวิตที่อาจเผชิญได้ ทั้งยังหลอกล่อได้ดีมากตั้งแต่การนำเสนอตัวละครประกอบมาหลอกล่อให้ตายใจในตอนต้น
หรือแม้แต่ชื่อหนัง ที่ทำให้เรารู้สึกถึงความโลกสวย ฟีลกู้ดแบบเซฟโซนเอฟเวรี่แวร์ เพื่อทำลายเซ้นส์ความระมัดระวังของเราไป แล้วค่อยๆตบหน้าเราไปทีละนิดทีละนิด จนคิดไปว่าไอ้คนทำเรื่องนี้โรคจิตชะมัดที่ทำร้ายดวงใจใสๆวัยเด็กของเราขนาดนี้ (ซึ่งทั้งหมดก็เพราะคาดหวังตามหน้าหนัง ถ้าใครอ่านแล้วคิดว่าไปเจอโหดหินฉิ่งถามฐาน ก็บอกว่าไม่ได้โหดขนาดนั้นนะ)
และยังใช้การสลับการรับรู้ ทั้งหน้าตาตัวละครที่น่ารักก็อาจไม่ดี น่าเกลียดก็อาจจะดี ไดโนเสาร์ที่ใส่ความเป็นคน ส่วนคนใส่ความเป็นสัตว์ลงไป (คือเปลี่ยนโมเดลเป็นหมาแทนก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างเดิมเลย และเป็นตัวละครที่แย่งซีนไดโดนเสาร์ทั้งเรื่องแบบขาดลอย น่ารักน่าชังน่าสงสาร และเชื่อว่าจะเป็นตัวละครที่คนดูจดจำไปนานแน่ๆ)
ในคาแรคเตอร์ของเรื่องนี้คือเจ้าไดโนเสาร์ตัวเล็กสีเขียวที่มีมนุษย์ตัวเล็ก คอยเกาะติดตัวอยู่ตลอดเวลา ทั้งคู่ต่างผจญภัยไปด้วยกัน ระหว่างทางกลับบ้าน ทั้งคู่ต้องเจอกับไดโนเสาร์ทั้งร้ายและดี สัตว์ต่าง ๆ ที่อยู่ในป่า พวกเขาทั้งคู่คอยช่วยกันทุกครั้งจนผ่านปัญหาเหล่านั้นไปได้
ระหว่างทางทั้งคู่ก็เกิดความผูกพันที่ได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำให้กลายเป็นความรักใคร่กัน การผจญภัยครั้งนี้ทำให้ไดโนเสาร์เกิดความกล้า เพราะมีเพื่อนที่คอยช่วยเหลือทำให้เขาก้าวผ่านความกลัวนี้ไปได้ แต่แล้วเมื่อเรื่องเดินทางมาถึงใกล้ถึงจุดจบ ถ้าไดโนเสาร์กลับบ้านไปเจอครอบครัวของเขาได้แล้ว เพื่อนใหม่ของเขาจะอยู่ยังไง ต้องไปติดตามดูกันเอง
ความรู้สึกหลังดู
ความน่าเบื่อคือ หนัง The Good Dinosaur เล่นพล็อตเด็กหลงทาง เด็กออกไปผจญภัยท่องโลกกว้าง กับประเด็น coming-of-age ควบคู่กับประเด็น friendship จากการเดินทาง ซึ่งเป็นประเด็นที่ซ้ำซาก ไม่แปลกใหม่ ไม่ครีเอท ไม่มีเอกลักษณ์ และไม่มีอะไรโดดเด่นน่าจดจำ
แม้แต่ฉากที่ควรจะเป็นฉากที่สวยงามที่สุดของหนังในช่วงท้ายเรื่อง ก็รู้สึกซ้ำกับฉากบินถลากินลมชมสะพานใน Big Hero 6
นอกจากนี้หนังเล่นประเด็นเรื่องความกล้าหาญหรือการเอาชนะความกลัว การออกจาก comfort zone การเรียนรู้สู่โลกกว้างและสังคมที่โหดร้าย การเติบโตจากบาดแผลและความเจ็บปวด ฯลฯ ซึ่งก็เล่าเรื่องได้เรื่อยมาก และก็ เหมาะกับสอนเด็กๆ มากกว่า ผู้ใหญ่อาจเฉยๆ
ดีที่ประเด็นครอบครัวเขาทำโอเค จัดว่าค่อนข้างดราม่า มีฉากขยี้ปม กระชากหัวใจ และเค้นน้ำตาคนดูได้อยู่ไม่น้อย (ขอเม้าธ์ นี่พานางว่าน #TheVoiceTH ไปด้วย นางกับแฟนนางร้องไห้ในโรงเลยจ้า) แต่เราไม่ร้องไห้นะ น่าจะผิดที่เราเองที่ไม่มีประสบการณ์ร่วมเลยไม่อินเท่าไหร่
ส่วนมุกตลกที่ขำๆ และน่ารักน่าชัง ก็จะเป็นความเปิ่นของสองตัวละครหลักของเรื่องเฉยๆ ทั่วไป ไม่ได้เป็นมุกตลกที่ครีเอทหรือล้ำลึกอะไร แต่ฉากเหล่านั้นก็พอทำให้คนดูมีความสุขได้ฉากละ 10 วินาทีโดยเฉลี่ย ไม่แย่ คือน่ารักจริงๆ อันนี้ชมจากใจ (และในโรงรอบสื่อ ก็มีคนปรบมือชอบใจกันทั้งโรงอยู่หลายฉากเหมือนกัน)
ดังนั้น ข้อพึงจำประการสำคัญคือ ถ้าจะมาดู The Good Dinosaur คุณจะต้องลืมก่อนว่าเคยดู Inside Out มาก่อน และต้องพยายามไม่เอาทั้งสองเรื่องนี้มาเปรียบเทียบเทียบเคียงกันโดยเด็ดขาด เพราะอย่างที่รู้กันว่าบทหนัง Inside Out มันบียอนด์ไปไกลถึงออสการ์ได้แล้วอะไรแล้ว
สำหรับ The Good Dinosaur เปรียบเทียบกันตรงๆ ซื่อๆ หนังเข้าใจไม่ยากอะไร ไม่มีอะไรต้องตีความล้ำลึกอะไร การสอนหรือการให้แง่คิดก็ให้ไดโนเสาร์มาเลคเชอร์เรากันตรงๆ ซื่อๆ โดยรวมจึงค่อนข้างเหมาะกับเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ที่จะดูสนุก
พูดอีกแง่คือ ถ้าการ์ตูน Inside Out มันเหมาะกับผู้ใหญ่ การ์ตูน The Good Dinosaur ก็คงเหมาะกับเด็ก ใสๆ น่ารักๆ ดูเพลินๆ นั่นแล
การออกแบบตัวละครไม่ได้แย่ โดยเฉพาะตัวไดโนเสาร์แต่ละสายพันธุ์ก็ดูมีกิมมิค ทั้ง Apatosaurus, Pterosaurs, Tyrannosaurus (T-Rex), และ Velociraptor (Raptor คู่กัด T-Rex) แต่ข้อด้อยคือ หนังใช้ความเป็นไดโนเสาร์ได้ไม่ค่อยคุ้ม อย่างเท่าที่เห็นคือ คาแรกเตอร์ของตัวละครหลักๆ ก็คือทั่วไปมาก เอาจริงๆ นางจะเป็นสิงสาราสัตว์หรือหมูหมากาไก่ที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นไดโนเสาร์ก็ได้
หนังใช้การแทนที่ตัวละครแบบง่ายๆ กล่าวคือ ไดโนเสาร์ในเรื่องก็คือมนุษย์ทั่วไปอย่างเราๆ นี้นี่แหละ ทำไร่ไถนา เลี้ยงสัตว์ ดูดีมีอารยธรรม และมีภาษาในการสื่อสาร ส่วนมนุษย์ในเรื่อง (เจ้า Spot) ก็กลับกลายเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เหมือนสุนัข เหมือนหมาป่าอย่างเมาคลีในเรื่อง The Jungle Book เด๊ะๆ และพูดภาษามนุษย์ไม่ได้
แล้วไดโนเสาร์ (Arlo) กับมนุษย์ (Spot) ก็มาสานสัมพันธ์เป็นเพื่อนกัน ร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคและเติบโตไปพร้อมๆ กัน แบบ Hiccup & Toothless ใน How To Train Your Dragon ซึ่งในแง่มิตรภาพต่างสายพันธุ์นี้ เราว่า How To Train Your Dragon ทำดีกว่ามาก (นี่ยังไม่นับ Baymax ใน Big Hero 6 อีกนะ)