รีวิว The Red Turtle เต่าแดง
The Red Turtle อาจจะเป็นหนังที่ทุกคนสงสัยในขณะนี้ เพราะ ล่าสุดเวที Oscar สาขา Animation ได้ประกาศหนังผู้ท้าชิงออกมาแล้ว หนึ่งในนั้นก็คือ The Red Turtle แถม ยังได้รับ Un Certain Regard Special Prize ของ Cannes Film Festival มาอีกด้วย นับว่าเป็นแอนิเมชันที่ไม่ธรรมดาเลย
ได้รับการกำกับโดย Michaël Dudok de Wit และที่สำคัญคือ เป็นการร่วมสร้างระหว่าง Studio Ghibli และ Wild Bunch จุดนี้แหละที่น่าสนใจ เพราะ ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นผลงานร่วมสร้าง แต่นี่คือ ผลงานชิ้นแรกของ Studio Ghibli ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ (แต่ในฐานะ Producer ไม่ใช่ผู้กำกับงานโดยตรง) ซึ่งก็มีกลิ่นอายสไตล์หนังของ Ghibli แฝงไว้อีกด้วย
มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่พลัดหลงมาติดเกาะ เขาพยายามเอาชีวิตรอดและสร้างแพเพื่อหนีออกจากเกาะนี้ แต่ว่าทุกครั้งที่นำแพออกทะเลไป จะต้องโดนบางอย่างกระแทกจนทำให้แพพัง ซึ่งสิ่งที่กระแทก นั่นก็คือ เต่าแดง นั่นเองและการพบกันของทั้งสองก็สร้างเรื่องราวอันน่าประทับใจ
ผมอาจจะเป็นคนหนึ่งที่ติดตามแอนิเมชั่นจาก Studio Ghibli มาเนิ่นนาน อาจจะรู้สึกแป้วๆ ไปบ้างเมื่อได้ยินข่าวว่าเขาจะเลิกสร้างผลงานหนังแล้ว ได้แต่หยิบงานเก่าๆ มาดูบ้างไรบ้าง ก่อนนายแพทจะได้รับรู้ว่า จิบลิกำลังมีผลงานชิ้นใหม่ที่คราวนี้ออกไปทำไกลถึงฝรั่งเศส แอนิเมชั่นเรื่องนี้ชื่อ ‘The Red Turtle’ หรือ ‘เต่าแดง’
อาจจะดูแปลกที่ทีมงานไม่ใช่คนญี่ปุ่น หน้าตาของงานภาพก็ไม่เหมือนที่จิบลิเคยทำมา แต่นั่นแหละ พะยี่ห้อจิบลิและเข้ามาฉายถึงหน้าบ้าน ก็ต้องออกไปดูกันหน่อยล่ะ เป็นหนังเปิดของเทศกาล World Film Festival of Bangkok ครั้งที่ 14 เรื่องราวที่เป็นการเดินทางของชีวิต ภาพของตัวอย่างไม่ได้เล่าอะไรเรามากมายนัก
แต่เต็มไปด้วยความสงสัยว่าเรื่องมันเกี่ยวกับอะไรกัน
จากตัวอย่างหนังนั้น พอจะบอกเราได้คร่าวๆ ว่า มันเป็นเรื่องของชายคนหนึ่งที่ถูกน้ำทะเลพัดพามาทิ้งไว้ที่เกาะแห่งหนึ่ง เกาะที่ไร้ผู้คน สิ่งมีชีวิตบนเกาะมีแค่เพียง ปู แมวน้ำ นก และเต่า และเขากลายเป็นมนุษย์คนเดียวที่ต้องโดดเดี่ยวบนเกาะนั้น
หนทางที่มนุษย์สัตว์สังคมคิดจะทำเมื่อติดเกาะก็คือการสร้างแพเพื่อจะลอยไปหาแผ่นดินสักที่บนโลก แต่เหมือนว่าทุกครั้งที่เขาล่องแพออกไปก็จะถูกอะไรบางอย่างมาคอยมาทำลายแพอยู่ตลอด
แล้วเขาก็ได้รู้ว่ามันคือ “เต่าแดง”
ภาพหลังจากนั้น เริ่มจะปะติดปะต่ออะไรไม่ได้ละ ที่รู้ๆ ก็คือมีผู้หญิงอยู่ที่เกาะนี้ด้วย เขาสองคนมีลูกด้วยกัน และที่สำคัญ มันมีสึนามิด้วย
ทั้งหมดเกี่ยวข้องกันยังไง คงต้องไปดูหนังกันเอาเอง
ยอมรับโดยดีว่า มีความคาดหวังอยู่ลึกๆ แม้ว่าโดยติ้นๆ ก็แอบไม่คาดหวังอะไรนัก ด้วยเพราะมันเป็นการร่วมมือกันระหว่าง Studio Ghibli กับหลายๆ สตูดิโอในฝรั่งเศส แถมงานที่ออกก็ดูไม่เหลือภาพลายเส้นในสไตล์จิบลิอยู่เลย
ผลงานจากผู้กำกับฯ ไมเคิล ดูด็อค เดอวิท ที่เคยคว้ารางวัลออสการ์จากแอนิเมชั่นขนาดสั้น ‘Father and Daughter’ มาแล้วเรื่องนี้ ‘เต่าแดง’ ว่าด้วยการเดินทางของชีวิต เผื่อชายหนุ่มเรืออับปางได้พบว่าตัวเองรอดตายอยู่บนเกาะแสนเวิ้งว้างกลางมหาสมุทรแต่เพียงผู้เดียว
แล้วการเดินทางครั้งใหม่ของชีวิตก็ได้เริ่มต้นขึ้น
การมาติดเกาะครั้งของเขา ทำให้เราได้ค้นพบสิ่งใหม่ที่แตกต่าง มันเป็นทางเดินที่มีความเป็นจริงผสมเข้ากับแฟนตาซีเล็กๆ ตัวละครที่เราไม่รู้ชื่อ กระทำในสิ่งที่เราเชื่อว่าถ้าเป็นเราก็คงกระทำเช่นนั้น แต่เรื่องราวก็มีอะไรที่ไม่คาดคิดได้เสมอ เราไม่รู้เลยว่ากำลังจะได้เจอกับ “อะไร”
และ “อะไร” บางอย่างนั้นสอนความจริงของชีวิตให้กับเรา
รีวิว The Red Turtle เต่าแดง
แอนิเมชั่นเรื่องนี้ไร้ซึ่งบทพูดใดๆ การตะโกนของตัวละครในหนังไม่จำเป็นต้องใช้ซับไตเติลมาช่วยบรรยาย เหตุการณ์ทุกอย่างดำเนินไปโดยไร้ถ้อยคำ ผู้ชมจะได้เห็นทุกอิริยาบทและสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่ดำเนินไปโดยเว้นว่างไว้ให้เขาได้คิดและปะติดปะต่อทุกอย่างเอาเองในหัว
ซึ่งผมก็ว่ามันเป็นวิธีการนำเสนอที่ไม่เลวเลยนะ
ผสานไปกับเสียงดนตรีประกอบที่แสนไพเราะ มีดังมีค่อย มีเร่งเร้าเศร้าทึมในช่วงเวลาที่ต้องการ และผสานไปกับลายเส้นที่ดูเป็นสไตล์ฝรั่งเศส ละเอียดละออ สะอาดสะอ้าน เหมือนมีเลเยอร์พิเศษทาบทับตลอดการเดินทาง ทุกช็อตสามารถเซฟออกมาเป็นภาพนิ่งที่มีการจัดวางสวยๆ ได้ทั้งหมด
แม้เมื่อนำทั้งหมดมาต่อกันยาวๆ จะทำให้ดูค่อนข้างเนือยไปบ้าง แต่เมื่อพิจารณาจากเรื่องราวที่ชวนติดตามว่ามันจะดำเนินไปยังไง จะเจออะไรต่อ ก็ถือว่าหนังทำได้ตรงนี้ได้ค่อนข้างดี
หนังเดินเรื่องชวนให้ติดตามแม้จะเดินไปอย่างเซ็น แต่ก็มีเจ้าพวกปูนี่แหละ ที่ดูจะมาเพื่อขโมยซีนโดยเฉพาะ มันน่ารักดี และมันก็มีมุกของพวกมันเองด้วยนะครับ
ผมคงไม่อาจจะเขียนสิ่งที่คิดได้จากแอนิเมชั่นเรื่องนี้ลงในบทความนี้ได้อย่างจำเพาะเจาะจง เพราะมันจะดูเป็นการสปอยล์เนื้อหาของหนัง ในความรู้สึกของผม นอกเหนือจากที่เราจะได้พบว่า ‘เต่าแดง’ แทรกแฝงปรัชญาของการดำเนินชีวิตเข้ามาในเรื่องราวแล้ว ถ้ามองมันอีกมุมหนึ่ง หนังก็มีสัญญะบางอย่างที่สามารถเอามาคิดต่อได้
สำหรับผมมันคือเรื่องของธรรมชาติกับมนุษย์
มนุษย์คงเป็นสัตว์ชนิดเดียวบนโลกที่พยายามเอาชนะธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็ยอมจำนนต่อธรรมชาติ รู้สึกผิดต่อการกระทำของตัวเองต่อธรรมชาติ และลงท้าย เราต่างก็รู้ว่าเราอยู่โดยปราศจากธรรมชาติไม่ได้
ลองเปิดโอกาสตัวเองให้กับแอนิเมชั่นเรื่องนี้กันดูนะครับ
ความรู้สึกหลังดู
สำหรับ The Red Turtle คือ แอนิเมชันที่ผมขออนุญาตเรียกได้ ‘หนังนอกกระแสแบบเต็มรูปแบบ’ เพราะด้วยสไตล์หนังที่ไม่มีส่วนใดเลยที่อยู่ในสายหนังกระแสหลัก (จริงๆ แค่ขึ้นชื่อว่าได้ คานส์ กับถ้าได้ดู Trailer ก็น่าจะพอเดาทางได้แล้ว) หนังมีวิธีการเล่าเรื่องที่แปลกออกไปจากหนังเรื่องอื่น คือ ไม่มีการพูดกันเลยแม้แต่คำเดียว (มีแค่ตะโกนนิดหน่อย) เราดูเรื่องนี้เราจะต้องวิเคราะห์เรื่องเองจากเหตุการณ์ต่างๆในเรื่อง การแสดงท่าทางของตัวละคร การมีปฏิสัมพันธ์กัน รวมถึงบรรยากาศของหนัง
แต่ที่เรียกได้ว่า ‘ยาก’ สำหรับการดูหนังเรื่องนี้จริงๆ ก็คือ การตีความหนัง เพราะ หนังไม่มีการสนทนากัน หนังจึงเปิดกว้างให้เราตีความเองว่า จริงๆแล้วหนังต้องการจะสื่ออะไร และสิ่งที่หนังจะสื่อก็ไม่ใช่ของที่สามารถแกะเอาจากหนังได้ง่ายๆ เนื่องจากหนังมีชั้นเชิงในการเล่าเรื่องสูง ค่อนข้างเป็นนามธรรม ต้องใช้การตีความอย่างลึกซึ้งไปตามแต่วิจารณญาณของแต่ละคน หนังยังเป็นหนังปรัชญาที่ผสมกับเรื่องราวเหนือจริง ดำเนินเรื่องแบบเรียบนิ่ง เนือย ไม่หวือหวา ยิ่งทำให้หนังดูยากมากขึ้นไปอีก ดังนั้นถ้าไม่ใช่คอหนังแนวนี้ ก็อาจจะเบื่อและหลับได้ง่าย
สิ่งที่ผมกล่าวมาข้างบน คือ “สิ่งที่ผมอยากจะบอกสำหรับคอหนังธรรมดาที่ไม่ได้ชอบหนังตีความหนังอะไรมากมาย” แต่ในแง่มุมสำหรับคนชอบดูหนังตีความและชื่นชอบในความแปลกใหม่ ผมก็ขอแนะนำ The Red Turtle ว่าไม่ควรพลาด เพราะว่า ยิ่งเป็นหนังที่ดูยากมากเท่าไร มันยิ่งเป็นความท้าทายสำหรับคอหนังนอกกระแสและคอหนังสายรางวัลมากเท่านั้น (รวมถึงผมด้วย 555) The Red Turtle มันเป็นหนังที่โคตรหายากและทำโคตรยาก อันเนื่องมาจากสไตล์หนังที่มันทำยากจริงๆ หนังแบบไม่มีบทพูด แต่แฝงปรัชญาไว้ได้ลึกซึ้งมากมาย รวมถึงถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะถ่ายทอดโดยตรงหรือใช้สัญลักษณ์บางอย่างสื่อความหมายแทน
หนังได้แสดงแนวคิดถึงเรื่องความผูกพันระหว่างชายติดเกาะกับเต่าแดงไว้อย่างแน่นแฟ้น ความรู้สึกอบอุ่น ความรักของคนในครอบครัว และเรื่องของคนกับธรรมชาติ ผสานกับปรัชญาแง่มุมการใช้ชีวิตไว้อย่างแนบเนียน เช่น การอยู่กับธรรมชาติ ชีวิตที่เกื้อกูล พึ่งพาอาศัยและผูกพันกับธรรมชาติ ทั้งป่าไม้ ทะเลและเต่าแดง (เป็นแนวคิดที่คล้ายคลึงกับ Ghibli) มันทำให้เราสามารถดื่มด่ำไปกับความงดงามของแนวคิดหนังได้ในตลอดทั้งเรื่อง (พร้อมกับปูน้อยที่คอยออกมาสร้างสีสัน)
ด้วยความที่หนังมีสไตล์แบบไม่ใช้บทพูด ผมยังนับว่าเป็นข้อดีของหนังอย่างหนึ่งอีกด้วย เพราะ ถ้าเราใช้สไตล์แบบนี้ไปทำภาพยนตร์จริง มันไม่เวิร์คเท่ากับทำออกมาแอนิเมชัน เรียกได้ว่า หนังสามารถดึงข้อดีของการเป็นหนังแอนิเมชันได้อย่างน่าสนใจและน่าประทับใจ
ในส่วนของ Production หนัง ก็เรียกได้ว่าเป็น ‘งานอาร์ต’ มากกว่าที่จะเป็นหนังแอนิเมชันธรรมดา เพราะ ภาพของ The Red Turtle สวยงามมากๆ คลาสสิคด้วยลายเส้นที่ออกไปทางฝรั่ง (ดูๆไปก็คล้ายลายเส้นใน The Little Prince) และฉากต่างๆที่สวยงามมาก ทุกฉากในหนังจัดวางองค์ประกอบได้สวยงาม รวมถึงมีสีสันคล้ายสีน้ำที่ดูไม่ฉูดฉาด ทำให้บรรยากาศหนังดูสงบนิ่งแต่ล้ำค่า ในระดับที่ถ้าเราตัดฉากแต่ละฉากในหนังมาทำเป็น Gallery รูปถ่ายก็คงสามารถทำได้ทันที
ชื่อภาพยนตร์: The Red Turtle / เต่าแดง / La tortue rouge
ผู้กำกับภาพยนตร์: Michael Dudok de Wit
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Michael Dudok de Wit (story), Pascale Ferran (screenplay)
นักแสดงนำ:
ดนตรีประกอบ:
แนว/ประเภท: Animation, Fantasy
ความยาว: 80 นาที
อัตราส่วนภาพ: 1.85 : 1
เรท: ไทย/, USA/PG
วันเข้าฉายในประเทศไทย: 23 มกราคม 2560 (ในเทศกาล 14th World Film Festival of Bangkok), เข้าจริง 26 มกราคม 2560
ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย/สตูดิโอ: Prima Linea Productions, Why Not Productions, Wild Bunch, M Pictures