รีวิว Tokyo Godfathers (2003)

นับตั้งแต่ Perfect Blue (1997) จนถึง Paprika (2006) ไม่มีเรื่องไหนดูเบาและง่ายเท่านี้อีกแล้ว ความซับซ้อนและนัยยะเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของ Satoshi Kon ผู้พยายามเล่ามุมมองที่แตกต่างจากคนธรรมดามองเห็น แต่ที่เห็นจะเกี่ยวกับโลกมายาคติเป็นส่วนใหญ่ คราวนี้เป็นคนจรจัดจึงดูแปลกและน่าสนใจ เนื่องจากเป็นกลุ่มคนที่ถูกมองข้าม การที่พวกเขาจะทำอะไรสักอย่างจึงดูเป็นเรื่องไม่ดีหรือไม่เกิดประโยชน์ แล้วถ้าความคิดนี้ทุกเปลี่ยนซะใหม่ล่ะ

ในวันคริสต์มาสที่ประเทศญี่ปุ่น คนจรจัด 3 คน ได้แก่

จิน ชายติดเหล้าวัยกลางคนกับอดีตที่แสนผิดหวัง
ฮานะ กะเทยร่างยักษ์ที่ชีวิตเคยมีพร้อมทุกอย่าง
มิยูกิ เด็กหนีออกจากบ้านเพราะปัญหาครอบครัว

ทั้งสามใช้ชีวิตร่วมกันเสมือนครอบครัวที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข จนได้พบเด็กทารกคนหนึ่งท่ามกลางกองขยะเข้าโดยบังเอิญ มีเพียงเบาะแสเหลือทิ้งไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นทั้งสามจึงตัดสินใจดูแลและตามหาพ่อแม่ที่แท้จริง ซึ่งได้ตั้งชื่อเด็กน้อยคนนี้ว่า”คิโยโกะ” มีความหมายว่า “เด็กผู้บริสุทธิ์”

จะสนุกหรือเปล่าเป็นคำถามที่เกิดขึ้นในช่วงแรก หลายอย่างดูจืดจางและธรรมดา จนระลึกได้ว่าตัวละครเป็นคนจรจัด พวกเขาดูห่างจากคนทั่วไปตรงที่ไม่มีเป้าหมายในชีวิตที่แน่นอน ไม่มีงานหรือความคาดหวังที่สูง มีเพียงความต้องการมีกินมีอยู่ให้ได้แค่นั้น ส่วนวันหนึ่งจะทำอะไรนอกเหนือจากนี้ล้วนแล้วแต่โชคชะตา ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเป้าหมายที่แน่ชัดเพราะไม่รู้จะทำอะไร งานก็ไม่มี เงินก็ไม่ได้ อาศัยฉกฉวยจากของเหลือเป็นส่วนใหญ่

รีวิวอนิเมะ

จนในวันที่เจอเด็กน้อยถูกทิ้งทำให้ชีวิตของคนจรจัดมีจุดมุ่งหมาย เดิมทีตั้งใจส่งมอบให้ตำรวจจัดการซะก็สิ้นเรื่อง แต่ด้วยความผูกพันบางอย่างทำให้หนึ่งในนั้นตัดสินใจหาพ่อและแม่ตัวจริงเพื่อพิสูจน์ต้นเรื่องทั้งหมด แต่เรื่องของเรื่องใช่ว่าทุกคนจะเห็นด้วยกับการตัดสินใจแบบนี้ ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่ยากนี้ว่าทำไปเพื่ออะไร แน่นอนว่าไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย ช่วยแล้วได้อะไรกลับคืน ทั้งนี้ใครจะไปนึกว่าคนจรจัดที่หลายคนรังเกียจจะมีจิตใจเมตตาขนาดนี้

ข้อสังเกตอย่างหนึ่งที่เหมือนข้อเสียเพราะไม่สมเหตุผลคือความบังเอิญ ทุกอย่างดูพอดิบพอดีเหลือเชื่อจนไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกเซอร์ไพรส์ดีหรือไม่ แต่ส่วนตัวมองเป็นเรื่องของโชคชะตาอย่างหนึ่งของคนจรจัดทั้งสาม แต่ละคนมาจากคนละที่คนละทาง ไม่มีสิ่งไหนเกี่ยวโยงถึงกันได้เลย นอกจากไร้ที่อยู่ทำกินเหมือนกัน แม้จะไม่เกริ่นถึงการรวมตัวที่มาที่ไป ทว่าสิ่งที่ผูกให้ทั้งสามอยู่ด้วยกันเห็นจะเป็นการใช้ชีวิตต่อไปให้ได้ แม้จะหนีความจริงที่ตัวเองเจ็บปวดก็ตาม

ความบังเอิญที่พอเหมาะทำให้การเล่าเรื่องไหลลื่นและเรียบง่าย ไม่หวือหวาจนน่าตกใจ กระนั้นบางครั้งดึงอารมณ์ได้สุดทางไม่น้อย โดยเฉพาะการไปต่อยังไงให้ถึงตอนจบ เพราะดูแล้วไม่น่าจะเจออย่างนั้นเจออย่างงี้ แต่ก็เจอเข้าอย่างจัง ซึ่งมาพร้อมกับความตื่นตัว เสียงหัวเราะ ความเจ็บปวด และความสนุก แทบจะมีให้ครบทุกรสชาติทั้งที่บางเรื่องไม่เกี่ยวกันก็ทำให้อยู่ในสถานการณ์พาซวยเจอจนได้

Tokyo Godfathers ตอนแรกคิดว่าไม่สนุกเท่าไร แต่ปรากฏว่าหักห้ามพลาดฉากใดฉากหนึ่งไม่ได้ เพราะเต็มไปด้วยการเดินทางตลอดทั้งเรื่อง เดี๋ยวพบเดี๋ยวเจอไม่หมดสิ้นทั้งที่ไม่ไปไหนไกล แต่ที่ชื่นชมคือเล่าเสียดสีสังคมยังไงให้ดูเบาน้อยที่สุด ซึ่งถ้าดูแล้วคิดตามจะเห็นว่าบางเรื่องมีแต่หนักหนาสาหัส ไม่ใช่สิ่งที่ควรอยู่ให้เห็น กระนั้นมีให้เห็นเหมือนเป็นข้อเตือนใจเกี่ยวกับโลกกว้างที่ไม่ได้มีแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง สำหรับสังคมมีให้ทุกอย่างหลายรูปแบบ อยู่ที่เราจะไตร่ตรองใช้ชีวิตแบบไหน เพราะไม่ใช่ทุกสิ่งจะมีให้และเป็นของเราเสมอไป

รีวิว Tokyo Godfathers (2003)

Tokyo Godfathers คือหนังแอนิเมชั่นของซาโตชิ คอน ที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ นี่น่าจะเป็นหนัง Feel good ที่สุดของซาโตชิ คอนหนังดูง่ายที่มาพร้อมกับประเด็น “คนไร้บ้าน”

คนไร้บ้านในสังคมญี่ปุ่นมีจำนวนมาก เป็นคนที่ไม่สนใจอะไรในชีวิต คนที่ละทิ้งความวุ่นวาย อยากออกจากการแข่งขัน และ หนีไปจากความกดดันของสังคม แต่นั่นไม่ได้แปลว่าคนเหล่านี้จะตัดขาดความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับความรัก ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม

เรื่องย่อ
เรื่องราวของคนจรจัดสามคน ที่พบเด็กทารกคนหนึ่งในกองขยะคืนวันคริสต์มาสอีฟจากคนที่แม้แต่ชีวิตของตัวเองยังจัดการไม่ได้ ต้องมาดูแลรับผิดชอบอีกหนึ่งชีวิต การตามหาพ่อแม่ของทารก มอบบทเรียนบางอย่างแก่พวกเขา ทำให้ได้เห็นคุณค่าในตนเองเมื่อชีวิตที่ต้องดูแลกลายเป็นของขวัญสุดวิเศษที่ช่วยลบปมในชีวิตของคนทั้งสามออกไปเป็นปาฏิหารย์ที่พระเจ้าประทานผ่านเด็กน้อย

Tokyo Godfathers เป็นอนิเมะค่อนข้างเก่ามาถึง 11 ปี แต่เนื้อหาภายในสามารถดูตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานมาก เพราะเมื่อใครได้ดูแล้วจะต้องประทับใจกับเรื่องนี้ และเหมาะกับการดูกับครอบครัวสร้างความอบอุ่นระหว่างพ่อแม่ลูกหรือคนในบ้านได้อีกด้วย

ในวันคริสต์มาสที่ประเทศญี่ปุ่น คนจรจัด 2 คน กิน ชายติดเหล้า ฮานะ กะเทยเฒ่าร่างยักษ์ และมิยูกิ เด็กหนีออกจากบ้าน ได้พบกับเด็กทารกคนหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ ดังนั้นทั้งสามจึงตัดสินใจดูแลและตามหาพ่อแม่ที่แท้จริง โดยตั้งชื่อเด็กน้อยคนนี้ว่า คิโยโกะ ซึ่งมีความหมายว่า เด็กผู้บริสุทธิ์ และการตามหานี้เองทำให้ทั้งสามได้พบเหตุการณ์มากมายเข้ามาในชีวิตแล้วเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

กิน (พากย์โดย:Emori Toru)

Gin

ชายจรจัดวัยกลางคนที่อ้างว่าตัวเองเป็นนักกีฬาปั่นจักรยานมืออาชีพ และค่อนข้างติดเหล้า อีกทั้งยังไม่ชอบกะเทยอีกต่างหาก

ฮานะ (พากย์โดย:Umegaki Yoshiaki)

Hana

ฮานะ กะเทยร่างยักษ์และหน้าตาไม่ดี ที่อดีตเคยทำในบาร์มาก่อน แต่เมื่อเพื่อนเดือดร้อนก็จะยื่นมือเข้าช่วยทันที

มิยูกิ (พากย์โดย:Okamoto Aya)

Miyuki

เด็กสาวที่หนีออกจากบ้านเพราะปัญหาครอบครัว และด้วยความที่เธอเป็นเด็กอาจจะทำอะไรใจร้อนบ้าง

คิโยโกะ (พากย์โดย:Koorogi Satomi)

Kiyoko

เด็กทารกที่ถูกพบในกองขยะ ระหว่างที่ทั้งสามกำลังค้นหาของกลับที่พักคนจรจัด

รีวิวอนิเมะออนไลน์

รีวิว Tokyo Godfathers (2003)

ความรู้สึกหลังดู

เป็นอนิเมะค่อนข้างนานมาก เพราะนับจากตั้งแต่ออกฉายจนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาได้ 11 ปีแล้ว ซึ่งแอดมินขอแนะนำให้ดูนะ เพราะเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่แอดมินค่อนข้างชอบเลยทีเดียว ซึ่งสิ่งที่ตัวอนิเมะจะสื่อก็ตรงกับความหมายของชื่อไทยหรือ เมตตาไม่มีวันตาย นั่นเอง

ดังนั้นสำหรับเรื่องนี้ที่มีครบรสไม่ว่าจะ ดราม่า ความหวัง ตลกที่สดใสไร้มลทิน เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี ก็อาจจะทำให้ประทับได้ไม่ยากนะ แม้ว่าในช่วงแรกจะเดินเรื่องได้อ้อยอิ่ง แต่ความสนุกก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น

ในเรื่องจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันคริสต์มาสอีฟ มีกลุ่มคนไร้บ้านที่ประกอบไปด้วย จิน ตาลุงขี้เมา มิยูกิ สาวน้อยที่หนีออกจากบ้าน และฮานะ กระเทยรุ่นใหญ่อดีตนักร้องในบาร์แห่งหนึ่ง ได้บังเอิญไปพบเจอกับเด็กทารกน้อยในกองขยะ

ฮานะเธอเชื่อว่าเด็กคนนั้นเป็นปาฏิหาริย์ที่พระเจ้าส่งมาให้ และได้ตั้งชื่อเธอว่า คิโยโกะ และหลังจากนั้นพวกเขาก็พยายามตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงของเธอผ่านรูปถ่าย และข้าวของในกระเป๋าที่ถูกทิ้งไว้ในตู้ล็อกเกอร์ ซึ่งทำให้เกิดการผจญภัยเล็ก ๆ ของทั้ง 3 คนในวันคริสต์มาสขึ้น

ดูอนิเมะออนไลน์

รีวิว Tokyo Godfathers (2003)

เรารู้สึกว่าเราชอบเรื่องนี้มาก ๆ เลยนะ ตอนแรกคิดว่าจะเป็นแนวแอคชั่น มาเฟีย เพราะเคยดู The Godfathers แต่พอดูจริง ๆ แล้วกลับเป็นแอนิเมชันที่ซึ้งมาก มันทำให้เราได้เห็นวิถีชีวิตจริง ๆ ของชาวญี่ปุ่นที่ไม่ได้สวยงามเหมือนในจินตนาการของเรา

ได้เห็นจิตใจของคนที่มีทั้งดี ทั้งร้าย และก็ทำให้เราได้เห็นปัญหาต่าง ๆ ของตัวละครแต่ละตัว มันทำให้เรารู้ว่าทำไม เพราะอะไรที่ทำให้พวกเขากลายเป็นคนไร้บ้าน ซึ่งเนื้อหาในเรื่องจะค่อย ๆ เฉลยปมของตัวละครทละน้อย ๆ

อีกทั้งยังได้เห็นความรักของครอบครัวถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีสายเลือดเดียวกัน แต่ก็ยังรัก และเป็นห่วงซึ่งกันและกัน และเห็นได้ว่าเราไม่ควรตัดสินใครที่ฐานะ หรือความเป็นอยู่ เพราะบางคนถึงแม้จะแต่งตัวมอมแมม แต่ก็เป็นคนดีได้ มันเลยทำให้เรารู้สึกอบอุ่นหัวใจ และประทับใจกับเรื่องนี้มากเลย

สุดท้ายนี้อยากให้ทุกคนไปลองหามาดูกันนะ ถึงแม้จะเป็นแอนิเมชันเก่าแต่ภาพก็ถือว่าสวยมาก ลายเส้นไม่ได้ดูหวือหวา ดูจินตนาการมากเกินไป ตามฉบับซาโตชิ คงเลย เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี ตัวแอนิเมชันได้ให้เราเห็นปัญหาสังคมและข้อคิดเยอะแยะมากมาย

เพราะฉะนั้น อย่าตัดสินใครจากรูปลักษณ์ภายนอก ให้ตัดสินจากจิตใจและการกระทำของเขาเอาน้าา

รีวิว Tokyo Godfathers (2003)

มาถึงเรื่องที่ 3 ของซาโตชิ คงกันแล้ว บอกเลยว่าถ้าอยากเริ่มดูงานของซาโตชิเราอยากให้เริ่มดูเรื่องนี้ เพราะดูง่ายสุด555 เอาจริงๆเรื่องนี้เน้นไปทางปัญหาสังคมในหลายๆเรื่องเลยนะ ทั้งเด็กที่หนีออกจากบ้านเอย เรีื่องราวดราม่าชีวิตสาวประเภทสองเอย คือเรื่องนี้เน้นดราม่าปัญหาสังคมเลยแหละ แต่นำเสนอออกมาอย่างสนุกสนานและไม่ซีเรียส เรื่องจะโฟกัสไปที่โฮมเลสสามคนที่เป็นเพื่อนกัน พวกเขาดันไปเจอเด็กทารกที่ถกทิ้งไว้ในวันคริสต์มาสเลยช่วยกันตามหาพ่อแม่ และเรื่องราวปาฏิหาริย์หลายอย่างก็เกิดขึ้น

เรื่องนี้อบอุ่นมาก คืออารมณ์จะขัดกับงานที่เหลือของซาโตชิที่เอียงไปทางดราม่ามากกว่า เรื่องนี้นำเสนอแบบว้าว อย่างงี้ก็ได้เหรอ แบบสมมติตัวละครหลักกำลังประสบปัญหา อุบัติเหตุไรงี้ ก็จะเหมือนมีอะไรบางอย่างทำให้พวกเขาผ่านพ้นไปได้อย่างง่ายดาย ไปได้ถูกที่ถูกทาง เจอคนที่ต้องการเจอ เหมือนทางเดินของพวกเขาราบรื่นอะไรประมาณนี้ แต่อย่างที่เราบอกไปว่าภายใต้ความสดใสของหนังถ้ามองดีๆประเด็นดราม่ามันหนักมากนะ มันเป็นปัญหาสังคมที่แท้จริงและหนักแบบที่เราน่าจะเจอได้ แต่อย่างที่บอกว่าหนังเรื่องนี้อบอุ่น ปัญหาเหล่านี้เกิดมาเพื่อให้กำลังใจเราทั้งนั้น เพราะสุดท้ายหนังเรื่องนี้ไม่ได้ทิ้งความรันทดไว้ในใจคนดู แต่เป็นการเคลียร์ปัญหาค้างคาระหว่างตัวละครมากกว่า

ราว่าเราชอบหนังเรื่องนี้มากสุด เอาจริงๆชอบพอกันหมดแต่ถ้าตอนไหนเราอยากดูหนังสบายๆคลายเครียดเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่เรานึกถึงและหยิบขึ้นมาดู555 เพราะแค่ได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหลักสามตัวก็มีความสุขแล้ว แต่เรื่องที่เราชอบที่สุดน่าจะเป็น Paranoia Agent เป็นอนิเมะจิตวิทยาหนักๆ แต่เราชอบแค่ช่วงตอนแรกๆกับตอนท้ายๆนะ แต่โดยรวมเป็นอนิเมะที่นำเสนอปัญหาสังคมได้ดีมากเช่นเดียวกัน

ก็อยากฝากให้ได้ไปดูกัน ถ้าอยากเริ่มงานซาโตชิก็เรื่องนี้แหละ เหมาะที่สุดแล้ว

รีวิวการ์ตูนอนิเมะ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *